หลายท่านเข้าใจผิด เพราะหลงศรัทธาพระโพธิสัตว์ว่าเป็นพระอรหันตสาวก มากเกินไป แล้วไปเห็นท่านเหล่านั้น ศรัทธาในการกระทำ ปฏิปทาของท่านเหล่านั้น แล้วยึดมั่นถือมั่นเป็น "รูปอรหันต์" เป็นภาพจำว่าพระอรหันตสาวก ต้องเป็นอย่างนี้ ทำอะไรๆ ก็ได้ โดยถือเอาว่า "จิตพระอรหันต์ไม่ยึดแล้ว ไม่มีกรรม" คือ เมื่อไม่มีเจตนา จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีกรรมแน่นอน กรรมทั้งสามคือ มโนกรรม, วจีกรรม, กายกรรม ก็ยึดรวมไว้แต่ "มโนกรรม" ตัวเดียว ถือเอามโนกรรมเป็นใหญ่ว่าถ้าไม่มีเจตนาแล้ว วจีกรรมและกายกรรมก็จะไม่มีไปด้วย ทีนี้ พระอรหันต์จะฆ่าคน ก็ทำได้, จะเสพยาบ้า ก็ทำได้, จะก่อกบถยึดอำนาจ ก็ทำได้ ฯลฯ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้มีคนแอบอ้าง สวมรอยเป็นพระอรหันต์ แล้วกระทำความผิด เพื่ออ้างเอาว่าตนคือ พระอรหันต์ ไม่มีเจตนาแล้ว ย่อมไม่มีกรรม อันจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรมอีกมาก
สาวกชน
สาวกชน เป็นคำที่ไม่มีในพระอภิธรรม แต่ได้เขียนขึ้นใหม่ เพื่ออธิบายความจริงของคนบางกลุ่ม ที่มีลักษณะเป็น "ผู้ตามที่ดี" จะมีความเป็นผู้นำเหมือนกัน แต่น้อยมาก เมื่อเข้าร่วมกลุ่มแล้วจะแสดงตัวเป็นผู้ตามมากกว่า อนึ่ง สาวกชน เหล่านี้ จะแตกต่างจากปัจเจกชนตรงที่ พวกเขาแสวงหา "เจ้านาย หรือ ผู้นำ" ที่พึ่งพาได้ แล้วก็จะเกาะอาศัยผู้นำนั้นต่อไป เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีพอยู่ในโลกปัจจุบัน ก็มี หรือเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นทุกข์ (ทางธรรม) ก็มี และกลุ่ม "สาวกชน" เหล่านี้เอง ที่กลายเป็น "อรหันตสาวก" อันแท้จริง คำว่า "อรหันตสาวก" อันแท้จริง นั้น หมายถึง พระอรหันต์ที่เป็นสาวกแท้ๆ มีจิตใจเป็น "สาวกชน" ไม่มีความเป็นผู้นำมากนัก หรือแทบไม่แสดงออกซึ่งความเป็นผู้นำเลย แต่จะแสดงบทบาทผู้ตามที่ดีโดยจะเจริญรอยตามพระพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดา ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ทำสิ่งอื่นใด โดยพละการณ์ รอฟังแ่ต่คำสั่งจากพระพุทธเจ้า (ผู้นำหมู่สาวก) เท่านั้น ข้อนี้ สาวกจึงแตกต่างจาก "พระโพธิสัตว์" มาก เพราะพระโพธิสัตว์รู้จักคิดเอง, ทำเอง โดยพละการณ์ ตามเหตุการณ์ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากพระพุทธเจ้า จึงควรแยกแยะให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสับสนระหว่าง "พระอรหันตสาวก" และ "พระโพธิสัตว์" เช่น เมื่อเห็นพระสงฆ์ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เด่นดัง รับเงินทอง แล้วสร้างวัด พัฒนาประเทศ อันเป็นกิจที่พระ พุทธเจ้ามิได้สอน มิได้สั่ง เป็นกิจทางโลก (แม้แต่กุฏิดิน พระพุทธเจ้ายังสั่งให้ทุบ ไม่ให้สร้างถาวรวัตถุ) ก็ควรเข้าใจให้ชัดว่านั่นเข้าลักษณะของ "พระโพธิสัตว์" ไม่ใช่ "พระอรหันตสาวก" อนึ่ง พระอรหันตสาวก นั้นมีความเป็นผู้ตามมาก ถ้าท่าเนข้าใจว่า "วิสัยสาวกชน" เป็นอย่างไร ท่านจะทราบว่าพระอรหันตสาวกก็มีวิสัยเช่นนั้นเ็ป็นพื้นฐาน ท่านจะไม่ทำกิจอื่นใด ออกนอกลู่นอกทาง ไม่คิดเอง ทำเองโดยพละการณ์ แต่จะรอฟังคำสั่งจากพระพุทธเจ้าก่อน ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้สั่ง ท่านก็ไม่ทำ ท่านก็อยู่เฉยๆ ปลงอุเบกขาไป ละวางซึ่งกิจโดยสิ้นเชิงแล้ว เพราะท่านคือ "พระอรหันตสาวก" ที่พร้อมจะนิพพาน ไม่ใช่พระโพธิสัตว์
หลายท่านเข้าใจผิด เพราะหลงศรัทธาพระโพธิสัตว์ว่าเป็นพระอรหันตสาวก มากเกินไป แล้วไปเห็นท่านเหล่านั้น ศรัทธาในการกระทำ ปฏิปทาของท่านเหล่านั้น แล้วยึดมั่นถือมั่นเป็น "รูปอรหันต์" เป็นภาพจำว่าพระอรหันตสาวก ต้องเป็นอย่างนี้ ทำอะไรๆ ก็ได้ โดยถือเอาว่า "จิตพระอรหันต์ไม่ยึดแล้ว ไม่มีกรรม" คือ เมื่อไม่มีเจตนา จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีกรรมแน่นอน กรรมทั้งสามคือ มโนกรรม, วจีกรรม, กายกรรม ก็ยึดรวมไว้แต่ "มโนกรรม" ตัวเดียว ถือเอามโนกรรมเป็นใหญ่ว่าถ้าไม่มีเจตนาแล้ว วจีกรรมและกายกรรมก็จะไม่มีไปด้วย ทีนี้ พระอรหันต์จะฆ่าคน ก็ทำได้, จะเสพยาบ้า ก็ทำได้, จะก่อกบถยึดอำนาจ ก็ทำได้ ฯลฯ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้มีคนแอบอ้าง สวมรอยเป็นพระอรหันต์ แล้วกระทำความผิด เพื่ออ้างเอาว่าตนคือ พระอรหันต์ ไม่มีเจตนาแล้ว ย่อมไม่มีกรรม อันจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรมอีกมาก
หลายท่านเข้าใจผิด เพราะหลงศรัทธาพระโพธิสัตว์ว่าเป็นพระอรหันตสาวก มากเกินไป แล้วไปเห็นท่านเหล่านั้น ศรัทธาในการกระทำ ปฏิปทาของท่านเหล่านั้น แล้วยึดมั่นถือมั่นเป็น "รูปอรหันต์" เป็นภาพจำว่าพระอรหันตสาวก ต้องเป็นอย่างนี้ ทำอะไรๆ ก็ได้ โดยถือเอาว่า "จิตพระอรหันต์ไม่ยึดแล้ว ไม่มีกรรม" คือ เมื่อไม่มีเจตนา จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีกรรมแน่นอน กรรมทั้งสามคือ มโนกรรม, วจีกรรม, กายกรรม ก็ยึดรวมไว้แต่ "มโนกรรม" ตัวเดียว ถือเอามโนกรรมเป็นใหญ่ว่าถ้าไม่มีเจตนาแล้ว วจีกรรมและกายกรรมก็จะไม่มีไปด้วย ทีนี้ พระอรหันต์จะฆ่าคน ก็ทำได้, จะเสพยาบ้า ก็ทำได้, จะก่อกบถยึดอำนาจ ก็ทำได้ ฯลฯ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้มีคนแอบอ้าง สวมรอยเป็นพระอรหันต์ แล้วกระทำความผิด เพื่ออ้างเอาว่าตนคือ พระอรหันต์ ไม่มีเจตนาแล้ว ย่อมไม่มีกรรม อันจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรมอีกมาก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น