หลายท่านไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง พระอรหันตสาวก, อรหันตโพธิสัตว์ ก็เหมารวม หรือคิดไปว่าพระอรหันตโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันตสาวก เพราะความที่เคยพบเห็นแต่พระอรหันตโพธิสัตว์ นั่นเอง จึงไปจดจำเป็น "ภาพติดตา" หรือ "มโนภาพ" ติดใจ ยึดอยู่ในความคิด ความเชื่อ ของตนเองว่าพระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าน่าจะเป็นเช่นนี้ แท้แล้วไม่ใช่ เพราะท่านเหล่านั้นอาจเป็น "อรหันตโพธิสัตว์" นั่นเป็นความเข้าใจผิด อันส่งผลร้ายแรงให้เกิดความไม่เข้าใจ อีกหลายอย่างตามมามากมาย เช่น ถ้าได้พบพระอรหันตสาวกจริงๆ ซึ่งท่านอาจไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งพระพุทธเจ้าเลย จึงไม่โดดเด่น ไม่มีผลงาน แม้แต่จะเทศน์ธรรมะ ท่านก็ไม่แสดง เพราะคิดว่าตนไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่มีใครมาเชิญให้ทำกิจนี้ ก็ให้เป็นกิจของพระพุทธเจ้าดีกว่า เช่นนี้ ตรงทางนิพพาน ทว่า คนอาจคิดว่าท่านไม่ได้อรหันตผลไป ก็เพราะท่านไม่ได้แสดงว่าตนมีความรู้ในธรรมมากมายอะไร นั่นเอง ในขณะเดียวกันอาจหลงคิดว่าการทำกิจของพระอรหันตโพธิสัตว์คือ สิ่งที่ถูกต้องตรงทางนิพพานแล้วเช่น การสร้างวัดโดยอ้างว่าตนได้สำเร็จ อรหันตผลแล้ว จึงไม่มีเจตนา ย่อมไม่มีกรรมใดๆ ให้รับ นิพพานแน่นอน (ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้พระอรหันตสาวกรูปใดทำหรือคิดเช่นนี้เลย) ส่งผลให้เกิดการ "ทำตามๆ กัน" ว่า เป็นอรหันต์แล้วก็ทำอะไรได้ทั้งหมด เพราะไม่มีเจตนา จึงไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแม้วันนี้ ปัญหาจะไม่เกิด แต่วันหน้า อาจมีผู้สวมรอย ทำตาม หรือทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ อันก่อให้เกิดภัยต่อทั้งทางโลกและทางธรรมได้
โพธิชน
โพธิชน เป็นคำใหม่ไม่มีในพระอภิธรรม (ในพระอภิธรรมมีแต่คำว่า พระโพธิสัตว์) เพื่อให้เกิดความเข้าใจจึงได้นำมาอธิบายขยายความเพิ่ม คำว่า "โพธิชน" ก็คือ หมู่ชนที่มีความเป็นพระโพธิสัตว์ นั่นเอง ซึ่งจะแตกต่่างจาก "สาวกชน" และ "ปัจเจกชน" (ท่านผู้อ่านควรแยกแยะให้ได้ระหว่าง ปัจเจกชน, สาวกชนและโพธิชน) กล่าวคือ โพธิชนจะมีความเป็นผู้นำสูงแตกต่างจากสาวกชน สามารถคิดทำสิ่งต่างๆ ได้เองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้ใด และมีความศรัทธาตรงต่อผู้มีธรรมแตกต่างจากปัจเจกชนที่จะไม่ศรัทธาใครได้อย่างแท้จริง (แม้ปัจเจกชนศรัทธาใคร ก็จะไม่ศรัทธาแบบสาวก) และในเหล่าบรรดาโพธิชนเหล่านั้นเอง จะมีผู้ที่เป็นเลิศที่สุดในเหล่าโพธิชนอยู่หนึ่งท่านในยุคพุทธกาลสมัย ที่จะได้ตรัสรู้พุทธะเป็นองค์แรก ได้ชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" ส่วนโพธิชนคนอื่น บางท่านอาจได้ตรัสรู้พุทธะตามภายหลัง แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า และโพธิชนคนอื่น บางท่านอาจยังไม่ได้ตรัสรู้พุทธะ แล้วทำหน้าที่เป็น "พระโพธิสัตว์" ต่อไป บางท่านก็อาจจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ปนอยู่กับอรหันตสาวก แต่ด้วยวิสัยที่แตกต่างกัน จึงมักทำสิ่งใดไปโดยพละการณ์ โดยมิได้รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้าก่อนเช่น พระมหากัสสปทำ "สังคายนาพระไตรปิฎก" โดยที่ไม่ได้รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้า ลักษณะเช่นนี้เป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์ซึ่งได้อรหันต์แล้ว แต่จะยังไม่นิพพานทันทีในชาตินั้นๆ ในฝ่ายมหายานจึงมีคำเรียกท่านเหล่านี้ว่า "อรหันตโพธิสัตว์" เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่่างว่าท่านไม่เหมือน "อรหันตสาวก" แม้ว่าทั้งสองจะมีความเป็นอรหันต์เหมือนกัน ก็ตาม
หลายท่านไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง พระอรหันตสาวก, อรหันตโพธิสัตว์ ก็เหมารวม หรือคิดไปว่าพระอรหันตโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันตสาวก เพราะความที่เคยพบเห็นแต่พระอรหันตโพธิสัตว์ นั่นเอง จึงไปจดจำเป็น "ภาพติดตา" หรือ "มโนภาพ" ติดใจ ยึดอยู่ในความคิด ความเชื่อ ของตนเองว่าพระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าน่าจะเป็นเช่นนี้ แท้แล้วไม่ใช่ เพราะท่านเหล่านั้นอาจเป็น "อรหันตโพธิสัตว์" นั่นเป็นความเข้าใจผิด อันส่งผลร้ายแรงให้เกิดความไม่เข้าใจ อีกหลายอย่างตามมามากมาย เช่น ถ้าได้พบพระอรหันตสาวกจริงๆ ซึ่งท่านอาจไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งพระพุทธเจ้าเลย จึงไม่โดดเด่น ไม่มีผลงาน แม้แต่จะเทศน์ธรรมะ ท่านก็ไม่แสดง เพราะคิดว่าตนไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่มีใครมาเชิญให้ทำกิจนี้ ก็ให้เป็นกิจของพระพุทธเจ้าดีกว่า เช่นนี้ ตรงทางนิพพาน ทว่า คนอาจคิดว่าท่านไม่ได้อรหันตผลไป ก็เพราะท่านไม่ได้แสดงว่าตนมีความรู้ในธรรมมากมายอะไร นั่นเอง ในขณะเดียวกันอาจหลงคิดว่าการทำกิจของพระอรหันตโพธิสัตว์คือ สิ่งที่ถูกต้องตรงทางนิพพานแล้วเช่น การสร้างวัดโดยอ้างว่าตนได้สำเร็จ อรหันตผลแล้ว จึงไม่มีเจตนา ย่อมไม่มีกรรมใดๆ ให้รับ นิพพานแน่นอน (ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้พระอรหันตสาวกรูปใดทำหรือคิดเช่นนี้เลย) ส่งผลให้เกิดการ "ทำตามๆ กัน" ว่า เป็นอรหันต์แล้วก็ทำอะไรได้ทั้งหมด เพราะไม่มีเจตนา จึงไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแม้วันนี้ ปัญหาจะไม่เกิด แต่วันหน้า อาจมีผู้สวมรอย ทำตาม หรือทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ อันก่อให้เกิดภัยต่อทั้งทางโลกและทางธรรมได้
หลายท่านไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง พระอรหันตสาวก, อรหันตโพธิสัตว์ ก็เหมารวม หรือคิดไปว่าพระอรหันตโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันตสาวก เพราะความที่เคยพบเห็นแต่พระอรหันตโพธิสัตว์ นั่นเอง จึงไปจดจำเป็น "ภาพติดตา" หรือ "มโนภาพ" ติดใจ ยึดอยู่ในความคิด ความเชื่อ ของตนเองว่าพระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าน่าจะเป็นเช่นนี้ แท้แล้วไม่ใช่ เพราะท่านเหล่านั้นอาจเป็น "อรหันตโพธิสัตว์" นั่นเป็นความเข้าใจผิด อันส่งผลร้ายแรงให้เกิดความไม่เข้าใจ อีกหลายอย่างตามมามากมาย เช่น ถ้าได้พบพระอรหันตสาวกจริงๆ ซึ่งท่านอาจไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งพระพุทธเจ้าเลย จึงไม่โดดเด่น ไม่มีผลงาน แม้แต่จะเทศน์ธรรมะ ท่านก็ไม่แสดง เพราะคิดว่าตนไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่มีใครมาเชิญให้ทำกิจนี้ ก็ให้เป็นกิจของพระพุทธเจ้าดีกว่า เช่นนี้ ตรงทางนิพพาน ทว่า คนอาจคิดว่าท่านไม่ได้อรหันตผลไป ก็เพราะท่านไม่ได้แสดงว่าตนมีความรู้ในธรรมมากมายอะไร นั่นเอง ในขณะเดียวกันอาจหลงคิดว่าการทำกิจของพระอรหันตโพธิสัตว์คือ สิ่งที่ถูกต้องตรงทางนิพพานแล้วเช่น การสร้างวัดโดยอ้างว่าตนได้สำเร็จ อรหันตผลแล้ว จึงไม่มีเจตนา ย่อมไม่มีกรรมใดๆ ให้รับ นิพพานแน่นอน (ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้พระอรหันตสาวกรูปใดทำหรือคิดเช่นนี้เลย) ส่งผลให้เกิดการ "ทำตามๆ กัน" ว่า เป็นอรหันต์แล้วก็ทำอะไรได้ทั้งหมด เพราะไม่มีเจตนา จึงไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแม้วันนี้ ปัญหาจะไม่เกิด แต่วันหน้า อาจมีผู้สวมรอย ทำตาม หรือทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ อันก่อให้เกิดภัยต่อทั้งทางโลกและทางธรรมได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น