อนึ่ง สังโยชน์ที่เรียกว่า "รูปราคะและอรูปราคะ" นั้นมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ บุคคลที่ถูกสังโยชน์เหล่านี้ พัวพันอยู่ จะติดอยู่ในฌาน, สมาธิ, ความสงบสุข ฯลฯ อันเป็นผลมาจากการเจริญฌานแบบใดแบบหนึ่งในสองแบบนี้ (รูปฌาน หรือ อรูปฌาน) บางท่านถูก "ผลของการเจริญฌาน" บางอย่างพัวพันอยู่จนกลายเป็น "สังโยชน์ขัดขวางการบรรลุอรหันตผล เช่น เมื่อเจริญรูปฌานไปได้ดี เกิดแสงสว่างโอภาสขึ้นแล้วก็คิดว่าตนได้บรรลุธรรม เพราะเมื่อเห็นแสงสว่างโอภาสนั้น พร้อมกับมีปีติสุข อันเป็นผลจากฌาน จึงคิดว่าตนบรรลุอรหันตผล ก็มี บ้างก็เข้าถึงอรูปฌานด้วย "ความว่าง" ไร้นิมิต, ไร้รูป เป็นหมายในการเข้าถึงฌานนั้นๆ จึงคิดว่าตนหลุดพ้นแล้วจากอำนาจแห่งนิมิตใดๆ, รูปราคะใดๆ คิดว่าบรรลุอรหันตผล ก็มี เช่นนี้ก็เข้าข่่าย "อรูปราคะ" คือ ถูกพัวพันร้อยรัดด้วยอรูปฌานติดอยู่ในภาวะสุขสงบแห่งฌานนั้นๆ จนทำให้คิดไปว่าตนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วอย่างนี้ก็มี อนึ่ง การถูกพัวพันด้วยฌานอันสงบสุขนี้ เป็นสิ่งที่รู้ตัวได้ยาก
อรูปราคะ
อรูปราคะ คือ สังโยชน์เครื่องร้อยรัดอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับละเีอียด อันส่งผลให้บุคคลพัวพันอยู่ในอรูปฌาน อันเป็นความสุขสงบอันละเอียด อนึ่ง พึงเข้าใจว่า "รูปราคะ" แตกต่างจากอรูปราคะด้วยกล่าวคือ การพัวพันอยู่ด้วย "รูปฌาน" อันสุขสงบอยู่ด้วยสมาธิ, ฌาน ซึ่งอาศัยรูปเป็นสมาธิทั้งหลาย จนทำให้ไม่อาจหลุดพ้นออกมาสู่ธรรมได้นั้น เราเรียกว่า "รูปราคะ" ไม่ใช่อรูปราคะ ส่วนคนที่หลงพัวพันอยู่ด้วย "อรูปฌาน" หรือฌาน, สมาธิ ทั้งหลายอันไม่มีรูปเป็นเครื่องหมายช่วยในการเจริญสมาธิ หรือท่านที่เจริญ "อรูปฌาน" ดี แล้วไม่ยอมปล่อยวางในอรูปฌานที่เจริญได้นั้น ทำให้เสียดายฌานนั้นๆ ก็ดี, กลัวเสียฌานที่บำเพ็ญมา ก็ดี, ติดในความสงบสุขด้วยอรูปฌานนั้น ก็ดี ฯลฯ อันพัวพันขัดขวางไม่ให้บุคคลบรรลุธรรมในระดับที่สูงขึ้นได้ เรียกว่า "อรูปราคะ" หรือแม้แต่บางท่านที่เจริญ อรูปฌานได้พลังพิเศษ, ได้ญาณหยั่งรู้พิเศษ อย่างใดก็ดี แล้วเห็นสิ่งใดๆ อันเป็นผลมาจากอรูปฌาน หมายเอาว่าถึงธรรมแล้ว ถึงนิพพานแล้ว ถูกอรูปเหล่าันั้นพัวพันอยู่ จนไม่อาจบรรลุอรหันตผลได้ นั่นก็คือ "อรูปราคะ" เช่น เห็นนิพพานเ็ป็นพลังพิเศษอย่างหนึ่ง แล้วคิดว่าบรรลุธรรม, ได้รับพลังธรรม ก็คิดว่าบรรลุอรหันตผลแล้ว, เห็น "ความว่างหรือสุญตา" แล้วหมายเอาว่าคือนิพพพาน, เห็นพระพุทธเจ้าเป็น "พลังงานหรืออรูป" อย่างหนึ่ง มาโปรด ก็คิดว่าได้ธรรมแท้ บรรลุแน่แล้ว ถูกสิ่งใดๆ อันเป็น "อรูป" เหล่านี้พัวพันอยู่ ร้อยรัดอยู่ ขัดขวางการเข้าสู่ธรรม เป็นอุปสรรคขวางกั้น ทำให้ไม่บรรลุอรหันต์ จัดเป็น "สังโยชน์" อย่างหนึ่งที่เรียกว่า "อรูปราคะ" นั่นเอง
อนึ่ง สังโยชน์ที่เรียกว่า "รูปราคะและอรูปราคะ" นั้นมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ บุคคลที่ถูกสังโยชน์เหล่านี้ พัวพันอยู่ จะติดอยู่ในฌาน, สมาธิ, ความสงบสุข ฯลฯ อันเป็นผลมาจากการเจริญฌานแบบใดแบบหนึ่งในสองแบบนี้ (รูปฌาน หรือ อรูปฌาน) บางท่านถูก "ผลของการเจริญฌาน" บางอย่างพัวพันอยู่จนกลายเป็น "สังโยชน์ขัดขวางการบรรลุอรหันตผล เช่น เมื่อเจริญรูปฌานไปได้ดี เกิดแสงสว่างโอภาสขึ้นแล้วก็คิดว่าตนได้บรรลุธรรม เพราะเมื่อเห็นแสงสว่างโอภาสนั้น พร้อมกับมีปีติสุข อันเป็นผลจากฌาน จึงคิดว่าตนบรรลุอรหันตผล ก็มี บ้างก็เข้าถึงอรูปฌานด้วย "ความว่าง" ไร้นิมิต, ไร้รูป เป็นหมายในการเข้าถึงฌานนั้นๆ จึงคิดว่าตนหลุดพ้นแล้วจากอำนาจแห่งนิมิตใดๆ, รูปราคะใดๆ คิดว่าบรรลุอรหันตผล ก็มี เช่นนี้ก็เข้าข่่าย "อรูปราคะ" คือ ถูกพัวพันร้อยรัดด้วยอรูปฌานติดอยู่ในภาวะสุขสงบแห่งฌานนั้นๆ จนทำให้คิดไปว่าตนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วอย่างนี้ก็มี อนึ่ง การถูกพัวพันด้วยฌานอันสงบสุขนี้ เป็นสิ่งที่รู้ตัวได้ยาก
อนึ่ง สังโยชน์ที่เรียกว่า "รูปราคะและอรูปราคะ" นั้นมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ บุคคลที่ถูกสังโยชน์เหล่านี้ พัวพันอยู่ จะติดอยู่ในฌาน, สมาธิ, ความสงบสุข ฯลฯ อันเป็นผลมาจากการเจริญฌานแบบใดแบบหนึ่งในสองแบบนี้ (รูปฌาน หรือ อรูปฌาน) บางท่านถูก "ผลของการเจริญฌาน" บางอย่างพัวพันอยู่จนกลายเป็น "สังโยชน์ขัดขวางการบรรลุอรหันตผล เช่น เมื่อเจริญรูปฌานไปได้ดี เกิดแสงสว่างโอภาสขึ้นแล้วก็คิดว่าตนได้บรรลุธรรม เพราะเมื่อเห็นแสงสว่างโอภาสนั้น พร้อมกับมีปีติสุข อันเป็นผลจากฌาน จึงคิดว่าตนบรรลุอรหันตผล ก็มี บ้างก็เข้าถึงอรูปฌานด้วย "ความว่าง" ไร้นิมิต, ไร้รูป เป็นหมายในการเข้าถึงฌานนั้นๆ จึงคิดว่าตนหลุดพ้นแล้วจากอำนาจแห่งนิมิตใดๆ, รูปราคะใดๆ คิดว่าบรรลุอรหันตผล ก็มี เช่นนี้ก็เข้าข่่าย "อรูปราคะ" คือ ถูกพัวพันร้อยรัดด้วยอรูปฌานติดอยู่ในภาวะสุขสงบแห่งฌานนั้นๆ จนทำให้คิดไปว่าตนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วอย่างนี้ก็มี อนึ่ง การถูกพัวพันด้วยฌานอันสงบสุขนี้ เป็นสิ่งที่รู้ตัวได้ยาก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น