จุติจิต

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น
จุติจิต หมายถึง จิตที่เคลื่อนย้ายจากภพหนึ่งไปสู่ภพหนึ่ง เมื่อสิ้่นรูปนามเดิม (รูปนามเดิมดับไป) อนึ่ง จิตนั้นยังดำรงอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เกิดหรือดับไปด้วย สิ่งที่เกิดดับไปนั้น เป็นเพียง "ขันธ์ห้า" ที่อยู่โดยรอบจิตเท่านั้น หากจุติจิตไม่ก้าวล่วงไปสู่ "ขันธ์ห้าใหม่" ก็จะไม่เป็น "ปฏิสนธิจิต" ในลำดับต่อไป จิตนั้นจะคงดำรงอยู่แต่จิต เป็นมโนธาตุที่สว่างไสวอยู่เท่านั้น ไม่มีขันธ์ห้าปรุงแต่งโดยรอบ นั่นคือ การดำีรงอยู่ของจิต ซึ่งไม่้ได้เกิดดับตามขันธ์ห้าไป นอกจากนี้ ในบางท่านกระทำสอุปาทิเสสนิพพานคือนิพพานบางส่วน เฉพาะส่วนที่เรียกว่่า "ขันธ์ห้า" หรือที่เรียกว่่า "ขันธปรินิพพาน" แล้ว จิตก็ยังคงดำรงอยู่ ยังไม่นิพพาน จนกว่่าจะมี "พระธาตุนิพพาน" พระธาตุที่เหลืออยู่ ดำรงอยู่ จึงจะนิพพานหมดไป ไม่เหลือเชื้ออีก อนึ่ง คำว่า "พระธาตุนิพพาน" นั้น หมายรวมถึง ธาตุทั้งหลายที่ยังคงเหลือ ดำรงอยู่ หลังดับขันธปรินิพพานแล้ว เช่น มโนธาตุ ก็หมายรวมอยู่ใน "พระธาตุนิพพาน" นั้นด้วย อนึ่ง ด้วยเพราะทรงมิได้ "นิพพาน" ทั้งหมดแต่ทรงกระทำเฉพาะ "ขันธ์ห้า" นิพพาน คือ "ขันธปรินิพพาน" จึงทำให้เหลือ "อธิจิต" ไว้โปรดสัตว์ และอธิจิตนั้นก็ดำรงอยู่เหนือชาติและภพใดๆ ไม่จุติลงสู่ภพใด ไม่ปฏิสนธิร่วมกับขันธ์ใด ไม่ก่อให้เกิดชาติใดๆ ขึ้นอีก


อนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงกระทำเพียง "สอุปาทิเสสนิพพาน" คือ นิพพานบางส่วน เฉพาะ "ขันธ์ห้า" ที่อยู่โดยรอบจิต ที่เรียกว่า "ขันธปรินิพพาน" เื่พื่อเหลือ "มโนธาตุ" ไว้ ให้ดำรง คงหน้าที่โปรดสัตว์ต่อไป จนกว่าจะถึงสิ้นอายุพุทธกาล ๕,๐๐๐ ปี ก็จะทรงกระทำ "พระธาตุนิพพาน" เพื่อนิพพานแบบ "อนุปาทิเสสนิพพาน" คือ นิพพานไม่เหลือเชื้อใดๆ อีก ในการณ์นี้ จิตไม่เคลื่อนไปสู่ภพใดภพหนึ่งเพื่อถือกำเนิด จึงไม่เกิดเป็นจุติจิตและปฏิสนธิจิตขึ้น และด้วยทรงอบรมจิตมาอย่่างดี จิตนั้นจึงยังคงเป็น "อธิจิต" ที่ดำรงคงอยู่เพื่อการโปรดสัตว์แบบ "จิตสู่จิต" อยู่ต่อไป จนกว่าจะถึง ๕,๐๐๐ ปีครบอายุพุทธกาล ก็จะทรงกระทำพระธาตุนิพพาน โดยการรวมเอาพระธาตุบนโลกประสานรวมเข้ากับ "อธิจิต" (มโนธาตุ) แล้วแสดงธรรมด้วยพระ พุทธปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย เพื่อโปรดเฉพาะเหล่าเทวดา (มนุษย์มองไม่เห็น) แล้วจึงนิพพานไป ซึ่งเป็นไปตามพันธสัญญาและสัจวาจาของพระพุทธองค์ที่ให้ไว้เมื่อครั้งพญามารทูลให้ทรงนิพพานเสีย แต่ท่านเห็นว่า "กิจยังไม่สมบูรณ์" จึงได้ทรงตั้งปณิธานอยู่ต่อ เืพื่อทำกิจให้สมบูรณ์ก่อนนิพพาน จึงกระทำเพียงปรินิพพานก่อนเท่านั้น ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ดังนี้


มหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ทีฆนิกาย มหาวรรค

ดูกรอานนท์ สมัยหนึ่ง เราแรกตรัสรู้ พักอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธแทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ ครั้งนั้น มารผู้มีบาป
ได้เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นมาร
ผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค
จงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลา
ปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า ดูกรมาร
ผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่
แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่
ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่
ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลมไม่ได้รับแนะนำ
ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่
ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลมไม่ได้รับแนะนำ
ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่
ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะ
นำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่
ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้
เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง
แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดามนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว
เพียงใด เราจักไม่ปรินิพพานเพียงนั้น
ดูกรอานนท์ วันนี้เมื่อกี้นี้เอง มารผู้มีบาปได้เข้ามาหาเราที่ปาวาลเจดีย์
ครั้นเข้ามาหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มารผู้มีบาปครั้นยืนเรียบร้อย
แล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพาน
ในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพาน
ของพระผู้มีพระภาค ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูกรมารผู้มีบาป
ภิกษุผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ... ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกา
ของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ... อุบาสกผู้เป็นสาวกของเราจักยัง
ไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ... อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ...
เพียงใด ... พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กัน
โดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้วเพียงใด เรา
จักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มี-
พระภาคสมบูรณ์แล้ว กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น
จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานใน
บัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของ
พระผู้มีพระภาค ฯ
ดูกรอานนท์ เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า ดูกรมารผู้มีบาป
ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า โดย
ล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 

©Copyright 2011 Mouth Buddha | TNB