บางท่านคิดว่า "อรหันต์เที่ยง" แน่นอน จีรัง ต้องนิพพานแน่ๆ แล้วกระทำกรรมโดยประมาทไป เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ต้องนิพพานแน่นอน เที่ยงแท้ ไม่แปรผัน จะทำอะไรก็ได้ เพราะเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตไม่ยึด เลยทำได้ทุกอย่าง ทำแล้วก็ว่างเปล่าไป ไม่มีกรรม เพราะไม่มีเจตนา กรรมไม่มี อะไรแบบนั้น ซึ่ง "เป็นความเข้าใจผิด" ด้วยมิจฉาทิิฐิที่ว่า "กรรมไม่มีผล" ถ้าเป็นพระอรหัึนต์ทำ เพราะทำโดยไม่มีเจตนา เป็นต้น นี่คือ "ความประมาท" อันเกิดจากความไม่เข้าใจว่า "ญาณของพระิอรหันต์" ไม่อาจเทียบเท่า "ญาณของพระพุทธเจ้า" จึงทำให้หลงว่าตนเองได้อรหันต์แล้ว จะทำอย่างไรก็ได้นิพพานแน่นอน!
สัพพัญญูญาณ
สัพพัญญูญาณ เป็นญาณหยั่งรู้ได้ทุกสิ่งมีเฉพาะในพระพุทธเจ้าเท่านั้นและด้วยเพราะพระพุทธเจ้ามีญาณนี้ จึงหยั่งรู้ได้ถึง "นิพพาน" ซึ่ง ญาณของปวงสัตว์ทั่วไป "ล้วนหยั่งไม่ึถึง" ยกเว้นแต่ "พระปัจเจกพุทธเจ้า" เท่านั้น ที่จะมีญาณหยั่งรู้ได้ึถึงนิพพานด้วยตนเอง อัน "ญาณหยั่งรู้" ของสาวกทั้งหลายนั้น ไม่มีผู้ใดเลยที่จะหยั่งถึงซึ่งนิพพานได้เอง แม้ว่าจะได้ถึงซึ่ง "อาสวักขยญาณ" แล้วก็ตาม ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงตรัสรู้ได้เอง โดยไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้และโปรดพวกเขาแล้ว อนึ่ง อาสวักขยญาณ นั้น เป็นญาณที่คนทั่วไปก็มีได้ทั้งนั้น ถ้าปฏิบัติถูกต้องได้มรรคผลจริงแต่ไม่มีกำลังมากพอที่จะหยั่งได้ถึงนิพพานเลย (ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ดังที่กล่าว นั่นแหละ) ดังนั้น ที่พระอรหันตสาวกทั้งหลายบรรลุธรรมได้ถึงซึ่งพระนิพพานนั้น "มิใช่้ด้วยกำลังญาณของอาสวักขยญาณ" แต่ด้วยมีกำลังของความเชื่อ, ความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าได้กล่าวแสดงถึงที่สุดแห่งธรรมไว้คือ "นิพพาน" ด้วยจึงทำให้แจ้งในพระนิพพานได้ นอกจากนี้ เมื่อพระอรหันตสาวกยังทรงขันธ์อยู่นั้น ก็ไม่ได้มีญาณทราบถึงขั้นว่าอะไรที่ไม่ควรปฏิบัติ หรือควรระวัง อันอาจจะทำให้ไม่ได้นิพพานเมื่อละสังขารได้ เช่น กรณีที่ "พระอรหันต์ชินปัญจระ" ผู้ได้นิพพานแล้วตั้งแต่ ๗ ขวบ ทว่า ถูกหญิงสาวสวมกอดทางด้านหลัง ทำให้ตกใจและถอดกายทิพย์ออกจากร่างฉับพลันจุติยังสวรรค์พรหมโลกไปเกิดเป็น "ท้าวมหาพรหมชินปัญจระ" นั้น เห็นได้ชัดว่าแม้จะบรรลุอรหันต์แล้วก็ตาม แต่ยังไม่อาจประมาทได้ เพราะอาจจะไม่ได้นิพพานได้ครับ ดังนั้น จึงต้องมีพระพุทธเจ้าทรงให้ "พระวินัย" ควบคู่ไปกับ "พระธรรม" ด้วย เรียกรวมกันว่า "พระธรรมวินัย" นั่นเอง ด้วยเหตุที่กล่าวแล้วว่า "พระอรหันตสาวก" ไม่มีสัพพัญญูญาณดังเช่นพระพุทธเจ้า อาจประมาทพลาดพลั้งแม้ได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม อาจไม่ไ่ด้นิพพานก็ได้ จึงต้องมีพระพุึทธเจ้า มีพระวินัยดังกล่าว
บางท่านคิดว่า "อรหันต์เที่ยง" แน่นอน จีรัง ต้องนิพพานแน่ๆ แล้วกระทำกรรมโดยประมาทไป เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ต้องนิพพานแน่นอน เที่ยงแท้ ไม่แปรผัน จะทำอะไรก็ได้ เพราะเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตไม่ยึด เลยทำได้ทุกอย่าง ทำแล้วก็ว่างเปล่าไป ไม่มีกรรม เพราะไม่มีเจตนา กรรมไม่มี อะไรแบบนั้น ซึ่ง "เป็นความเข้าใจผิด" ด้วยมิจฉาทิิฐิที่ว่า "กรรมไม่มีผล" ถ้าเป็นพระอรหัึนต์ทำ เพราะทำโดยไม่มีเจตนา เป็นต้น นี่คือ "ความประมาท" อันเกิดจากความไม่เข้าใจว่า "ญาณของพระิอรหันต์" ไม่อาจเทียบเท่า "ญาณของพระพุทธเจ้า" จึงทำให้หลงว่าตนเองได้อรหันต์แล้ว จะทำอย่างไรก็ได้นิพพานแน่นอน!
บางท่านคิดว่า "อรหันต์เที่ยง" แน่นอน จีรัง ต้องนิพพานแน่ๆ แล้วกระทำกรรมโดยประมาทไป เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ต้องนิพพานแน่นอน เที่ยงแท้ ไม่แปรผัน จะทำอะไรก็ได้ เพราะเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตไม่ยึด เลยทำได้ทุกอย่าง ทำแล้วก็ว่างเปล่าไป ไม่มีกรรม เพราะไม่มีเจตนา กรรมไม่มี อะไรแบบนั้น ซึ่ง "เป็นความเข้าใจผิด" ด้วยมิจฉาทิิฐิที่ว่า "กรรมไม่มีผล" ถ้าเป็นพระอรหัึนต์ทำ เพราะทำโดยไม่มีเจตนา เป็นต้น นี่คือ "ความประมาท" อันเกิดจากความไม่เข้าใจว่า "ญาณของพระิอรหันต์" ไม่อาจเทียบเท่า "ญาณของพระพุทธเจ้า" จึงทำให้หลงว่าตนเองได้อรหันต์แล้ว จะทำอย่างไรก็ได้นิพพานแน่นอน!
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น