๑. ธรรมกายแบบพระยูไล คือ จิตวิญญาณพัฒนาถึงพุทธะแล้ว มีญาณหยั่งรู้ได้ด้วยตนเองแล้ว รอแต่ต่อสายธรรมจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น เหมือนดอกบัวบานแล้ว รอแต่เพียงแสงอาทิตย์ (แสงธรรม) เท่านั้น
๒. ธรรมกายแบบวัชรกาย คือ จิตวิญญาณพัฒนาถึงขั้นใสบริสุทธิ์ดุจเพชรแล้ว ไม่ใช่แค่ใสเหมือนแก้วเท่านั้น แต่จะเปล่งประกายสีรุ้งดุจเพชรด้วย อนึ่ง วัชรกายมีทั้งแบบพุทธะและแบบที่ไม่ใช่พุทธะ
๓. ธรรมกายแบบมโนธาตุ คือ จิตวิญญาณพัฒนาถึงขั้นเหลือแต่มโนธาตุบริสุทธิ์ วิญญาณขันธ์นิพพานไปก่อนแล้ว เหลือจิตสว่างไสวดุจดาวประกายแสง บางท่านเห็นแล้วเรียกว่า "พระเจ้าแสงแห่งธรรม" ก็มี
อนึ่ง ธรรมกายแบบอรหันตสาวกนั้นไม่มีั กล่าวคือ จิตวิญญาณที่พัฒนาถึงขั้นเหมือนกับอรหันตสาวกแล้วระดับหนึ่งนั้นไม่อาจมีญาณหยั่งรู้ถึงนิพพานได้เองเรียกว่า "ไม่มีอายตนะนิพพาน" จึงต้องรอพระพุทธเจ้ามาโปรดโดยตรงหรือพระอรหันตสาวกรูปอื่นมาต่อสายธรรมให้ เท่านั้น ก็จะบรรลุธรรมเป็นอรหันตสาวก ปกติ จะมีกายทิพย์สีทอง ทั้งนี้ ในทางพุทธศาสนามีคำศัพท์ว่า "ธรรมกาย" ใช้เรียกถึงกายในกายที่มีพัฒนาการสูงถึงขั้น "ธรรมกาย" แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาเรียกตัวบุคคล ส่วนคำว่า "บัวบาน" นั้น มีใช้เรียกตัวบุคคลบ้างเช่น "ภิกษุบัวบาน" ก็หมายถึงถิกษุรูปนั้นได้ "ธรรมกาย" แล้วนั่นเอง เช่น ครั้งที่พระพุทธเจ้าโปรดพระมหากัสสปะ ท่านไม่ได้กล่าวธรรมใด เพียงยกดอกบัวบานขึ้นเท่านั้น พระมหากัสสปะก็บรรลุธรรมได้ (ตามตำราของฝ่ายมหายาน แต่ตำราของเถรวาทไทยครั้งเขียนใหม่หลังสังคายนาพระไตรปิฎกยุครัตนโกสิน เขียนต่างออกไป) อนึ่ง การแสดงธรรมผ่านภาษาต่างๆ เป็นเครื่องสร้างความมั่นใจและสุตมยปัญญาให้แก่ผู้ฟังเท่านั้น แต่ธรรมแท้นั้นไร้คำอธิบาย ไร้ตัวอักษร ภาษาใดๆ จะอธิบายได้ รับรู้ได้จากจิตสู่จิต เท่านั้น
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น