เจตสิกทำงานร่วมกับจิต เสมือนว่าเจตสิกเป็นขุนนางหลายๆ คน ที่รายล้อมรอบจิตซึ่งเป็นพระราชา พอเจตสิกตัวที่หนึ่งทำงานแล้วดับไป เจตสิกตัวที่สอง, สาม, สี่ ฯลฯ ก็เข้ามาทำงานร่วมกับจิตอีกเป็นลำดับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เจตสิกจึงไม่เที่ยง, เกิด-ดับไปเรื่อยๆ ไม่ใช่องค์ประทานในกลุ่มแก๊งค์นี้ ในขณะที่จิตยังคงใสซื่ออยู่เหมือนเดิม เจตสิกเหมือนขุนนางที่ไม่มีอำนาจในตัวเอง ต้องอาศัยอำนาจของพระราชาคือจิต ในการทำกิจต่างๆ แต่พระราชาืคือจิตนั้น ใสซื่อมาก จึงไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรทำ เจตสิกที่เหมือนกับขุนนางจึงเรียงหน้ากันมาทำงานร่วมกับจิตเป็นลำดับไป โดยเจตสิกมีทั้งสิ้น ๕๒ ชนิด เรียกว่า "เจตสิก ๕๒" แบ่งออกเป็น
๑. สัพพจิตตสาธารณะ ๗ คือ เจตสิกมูลฐานที่เกิดขึ้นกับ "จิตสังขาร" ทุกแบบ เหมือนขั้นตอนเบื้องต้นที่จิตสังขารทุกแบบต้องมีก่อนเป็นเบื้องต้น ซึ่งมีทั้งหมด ๗ ชนิด ได้แก่ เอกกัคคตา, ชีวิตินทรีย์, มนสิการ, เวทนา, สัญญา, เจตนา, ผัสสะ
๒. ปกิณณกเจตสิก ๖ คือ เจตสิกที่ประกอบขึ้นกับ "จิตสังขาร" บางชนิด, บางกลุ่ม ซึ่งมีความเป็นกลาง ไม่ใช่ทั้งกุศลหรืออกุศล แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับจิตสังขารทุกดวง ได้แก่ วิตก, วิจารณ์, อธิโมกข์, ฉันทะ, วิริยะ, ปีติ
๓. อกุศลเจตสิก ๑๔ คือ เจตสิกที่ประกอบเข้ากับ "จิตสังขาร" บางกลุ่มเฉพาะในกลุ่ม "อกุศล" เท่านั้น ได้แก่ โลภะ ๓ (โลภะ, ทิฏฐิ, มานะ), โทสะ ๔ (โทสะ, อิสสา, มัจฉริยะ, กุกกุจจะ), โมหะ ๔ (โมหะ, อหิริ, อโนตตัปปะ, อุทธัจจะ), ติกะ ๓ (ถีนะ, มิทธะ, วิจิกิจฉา)
๔. โสภณเจตสิก ๒๕ คือ เจตสิกที่ประกอบเข้ากับ "จิตสังขาร" บางกลุ่มเฉพาะในกลุ่ม "กุศล" เท่านั้น ได้แก่ สาธารณะ ๑๙ (สติ, สัทธา, หิริ, โอตตัปปะ, อโลภะ, อโทสะ, ตัตรมัชฌัตตา, กายลหุตา, จิตตลหุตา, กายมุทุตา, จิตตมุทุตา, กายกัมมัญญัตตา, จิตตกัมมัญญัตตา, กายอุชุตา, จิตตอุชุตา, กายปัสสัทธิ, จิตตปัสสัทธิ, กายปาคุญญตา, จิตตปาคุญญตา) วิรัตติ๓ (สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ) อัปปมัญญา ๒ (กรุณา, มุทิตา) ปัญญา ๑ (ปัญญา)
อนึ่ง "จิตสังขาร" นี้ ไม่ได้มีอยู่จริง เป็นเพียง "สมมุติ" ที่พระอรรถกาฐาจารย์ ท่านได้เขียนไว้อ้างอิงถึงเท่านั้น เพื่ออธิบายเรื่องของเจตสิกเท่านั้นเอง เช่น จิตโลภ ไม่มีจริง แต่เป็นสมมุติที่้ใช้อธิบายกลุ่มหรือแก๊งค์ของ "จิตประภัสสร" ที่ทำงานร่วมกับเจตสิกหลายๆ ชนิด จนทำให้เกิด "ความโลภ" นั่นเอง ทั้งนี้ เจตสิกจะเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นลำดับ, เป็นกลุ่ม จนกว่าจะทำกิจครบ จึงมีำคำเรียกกระบวนการเหล่านี้ว่า "วิถีจิต" ซึ่งจะเกิดจาก "จิตประภัสสร" ที่ทำหน้าที่เหมือนพระราชา มี "เจตสิก" ที่ทำหน้าที่เหมือนขุนนาง เข้ามารายงานหรือทำกิจต่างๆ ร่วมกับจิตนั้นเป็นลำดับ จากเจตสิกหนึ่งไปสู่เจตสิกหนึ่ง เกิด-ดับไปเรื่อยๆ ส่วนจิตประภัสสรยังคงบริสุทธิ์เช่นเดิมไม่ไ่ด้เกิด-ดับตามเจตสิกไปด้วย ด้วยส่วน "จิต" นั้น คือ "ธาตุ" ชนิดหนึ่งเรียกว่า "มโนธาตุ" เป็นธาตุแท้แห่งความบริสุทธิ์, ประภัสสร ตราบจนกว่าจะนิพพานไป
1 ความคิดเห็น:
เจตสิกเหมือนเสียงดนตรี โด, เร, มี ฯลฯ เกิดดับ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนจิตก็เหมือนเครื่องดนตรีที่ยังอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าเสียงโน้ตจะเกิดดับไปกี่ตัวก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น