อรูปฌานจึงอาจเหมือนยากกว่ารูปฌาน สำหรับผู้ฝึกใหม่ เนื่องจากการรวมสมาธิไปสู่สิ่งที่มีรูปย่อมง่ายกว่าสิ่งที่ไม่มีรูปให้เห็นเลย แต่เมื่อดำเนินไปเรื่อยๆ "รูปฌาน" จะทำให้ได้สมาธิที่ลึกที่สุดเพียง "ฌานสี่" จะลึกไปกว่านั้นไม่ได้ ด้วยยังติดใน "รูป" อยู่ เมื่อปล่อยคลายความยึดมั่นในรูปหรือรูปดับแล้วยังมีสมาธิได้ดังเดิม จึงจะเข้าสู่ฌานที่ลึุกขึ้นได้ ทว่า ไม่ว่าจะเป็นฌานหนึ่งไปจนถึงฌานแปด ก็นับว่าเป็นสมาธิขั้นสูงแล้ว (อัปปนาสมาธิ) สูงกว่าขนิกสมาธิ ซึ่งในการบรรลุธรรมนั้น ใช้สมาธิเพียงแค่ขนิกสมาธิ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิขั้นสูงจนเกิดเป็นฌานขั้นใดขั้นหนึ่งเลย แต่ที่หลายท่านเจริญฌานนั้น ก็อาจด้วยปรารถนาในสิ่งอื่นที่มากกว่า "อาสวักขยญาณ" เช่น อภิญญาห้า เป็นต้น ในท่านที่ไม่ไ่ด้ฝึกฌาน อาจบรรลุธรรมโดยไม่มีอภิญญาตัวอื่นๆ เลยก็ได้ แต่ในท่านที่บรรลุธรรมโดยมี "ฌาน" เป็นพื้นฐาน มักจะได้อภิญญามาด้วย เรียกว่าบรรลุอรหันตผลพร้อมอภิญญาต่่างๆ เช่น บรรลุพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
อรูปฌาน
อรูปฌาน คือ ฌานที่เกิดจากการอาศัย "อรูป" เป็นอารมณ์เพื่อรวมจิตเข้าสู่สมาธิ เมื่อพ้นนิวรณ์ทั้งห้าแล้วจะนับเป็น "ฌานหนึ่ง" เหมือนรูปฌาน เมื่อเข้าสู่สมาธิที่ลึุกขึ้นจนถึงฌานสี่ ยังใช้หลักการพิจารณาได้เช่นรูปฌานสี่เหมือนกัน แต่เมื่อเข้าสู่ฌานที่ลึกขึ้นไปกว่าฌานสี่แล้ว ก็จะมีหลักในการพิจารณาต่างกัน กล่าวคือ รูปฌานสี่ เข้าสู่ฌานในระัดับลึกตั้งแต่ ๑ ถึง ๔ ขั้นแล้วจบลง ไปมากกว่านั้นไม่ไ่ด้ หา่กยัง "ติดรูป" จะยังไม่พ้นฌานสี่ จะขึ้นระดับฌานขั้นที่ห้าไม่ไ่ด้ เมื่อรูปดับลงแล้วจึงเข้าสู่ฌานขั้นที่ห้าได้ ซึ่งจะกลายเป็นอรูปฌานแทน (เนื่องจากไม่มีรูปเป็นหมายรวมสมาธิแล้ว) ดังนั้น อรูปฌานจึงสามารถเข้าสู่ฌานที่ลึกขึ้นไปกว่า ๑ ถึง ๔ ระดับได้ ซึ่งตามตำรานับให้ว่าลึกขึ้นไปได้อีก ๔ ขั้น (ดังนั้น หากเจริญฌานจากรูปฌานก็จะได้ฌานหนึ่งถึงสี่แล้วต่อด้วยอรูปฌานอีกก็จะได้ขั้น ๕ - ๘ นั่นเอง) โดยหลักการพื้นฐานของอรูปฌาน ก็ไม่ต่างจากรูปฌาน กล่าวคือ "ใช้ธรรมชาติบางอย่างเป็นเครื่องรวมจิต รวมสมาธิ ทำให้ความสนใจรวมอยู่ในสิ่งนั้นๆ เพื่อดึงความสนใจออกจากนิวรณ์ทั้งห้าชั่วคราว แต่จะแตกต่างกันที่ "ธรรมชาติที่นำมาใช้ในการรวมสมาธิ" ที่รูปฌานจะใช้สิ่งที่มีรูป แต่อรูปฌานจะใช้สิ่งที่ไม่มีรูป เช่น ความว่าง เป็นต้น
อรูปฌานจึงอาจเหมือนยากกว่ารูปฌาน สำหรับผู้ฝึกใหม่ เนื่องจากการรวมสมาธิไปสู่สิ่งที่มีรูปย่อมง่ายกว่าสิ่งที่ไม่มีรูปให้เห็นเลย แต่เมื่อดำเนินไปเรื่อยๆ "รูปฌาน" จะทำให้ได้สมาธิที่ลึกที่สุดเพียง "ฌานสี่" จะลึกไปกว่านั้นไม่ได้ ด้วยยังติดใน "รูป" อยู่ เมื่อปล่อยคลายความยึดมั่นในรูปหรือรูปดับแล้วยังมีสมาธิได้ดังเดิม จึงจะเข้าสู่ฌานที่ลึุกขึ้นได้ ทว่า ไม่ว่าจะเป็นฌานหนึ่งไปจนถึงฌานแปด ก็นับว่าเป็นสมาธิขั้นสูงแล้ว (อัปปนาสมาธิ) สูงกว่าขนิกสมาธิ ซึ่งในการบรรลุธรรมนั้น ใช้สมาธิเพียงแค่ขนิกสมาธิ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิขั้นสูงจนเกิดเป็นฌานขั้นใดขั้นหนึ่งเลย แต่ที่หลายท่านเจริญฌานนั้น ก็อาจด้วยปรารถนาในสิ่งอื่นที่มากกว่า "อาสวักขยญาณ" เช่น อภิญญาห้า เป็นต้น ในท่านที่ไม่ไ่ด้ฝึกฌาน อาจบรรลุธรรมโดยไม่มีอภิญญาตัวอื่นๆ เลยก็ได้ แต่ในท่านที่บรรลุธรรมโดยมี "ฌาน" เป็นพื้นฐาน มักจะได้อภิญญามาด้วย เรียกว่าบรรลุอรหันตผลพร้อมอภิญญาต่่างๆ เช่น บรรลุพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
อรูปฌานจึงอาจเหมือนยากกว่ารูปฌาน สำหรับผู้ฝึกใหม่ เนื่องจากการรวมสมาธิไปสู่สิ่งที่มีรูปย่อมง่ายกว่าสิ่งที่ไม่มีรูปให้เห็นเลย แต่เมื่อดำเนินไปเรื่อยๆ "รูปฌาน" จะทำให้ได้สมาธิที่ลึกที่สุดเพียง "ฌานสี่" จะลึกไปกว่านั้นไม่ได้ ด้วยยังติดใน "รูป" อยู่ เมื่อปล่อยคลายความยึดมั่นในรูปหรือรูปดับแล้วยังมีสมาธิได้ดังเดิม จึงจะเข้าสู่ฌานที่ลึุกขึ้นได้ ทว่า ไม่ว่าจะเป็นฌานหนึ่งไปจนถึงฌานแปด ก็นับว่าเป็นสมาธิขั้นสูงแล้ว (อัปปนาสมาธิ) สูงกว่าขนิกสมาธิ ซึ่งในการบรรลุธรรมนั้น ใช้สมาธิเพียงแค่ขนิกสมาธิ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิขั้นสูงจนเกิดเป็นฌานขั้นใดขั้นหนึ่งเลย แต่ที่หลายท่านเจริญฌานนั้น ก็อาจด้วยปรารถนาในสิ่งอื่นที่มากกว่า "อาสวักขยญาณ" เช่น อภิญญาห้า เป็นต้น ในท่านที่ไม่ไ่ด้ฝึกฌาน อาจบรรลุธรรมโดยไม่มีอภิญญาตัวอื่นๆ เลยก็ได้ แต่ในท่านที่บรรลุธรรมโดยมี "ฌาน" เป็นพื้นฐาน มักจะได้อภิญญามาด้วย เรียกว่าบรรลุอรหันตผลพร้อมอภิญญาต่่างๆ เช่น บรรลุพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น