๑. ความเป็นธรรมชาติ กล่าวคือ ญาณ ก็เป็นเพียงธรรมชาติหนึ่งที่ไม่ต่างจากธรรมชาติทั่วไป ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้, ไม่เที่ยง, ไม่จีรัง, ไม่ใช่ตัวตนของตน และนำพาบุคคลที่ลุ่มหลงไปสู่ความทุกข์ได้เช่นกัน กล่าวคือนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎจึงไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ หากยึดติดในญาณทั้งหลายนั้น
๒. เป็นการหยั่งรู้พิเศษ เพราะแตกต่างจากปุุถุชนทั่วไำปที่ไม่มีญาณ จะไม่สามารถหยั่งรู้ได้เช่นนี้ จึงนับว่าพิเศษ เช่น ญาณหยั่งรู้ใจคน, ญาณหยั่งรู้ภาษาสัตว์ เป็นต้น ซึ่งญาณเหล่านี้มีความแตกต่างหลากหลายมากมาย แบ่งได้หลายชนิด แต่สามารถแบ่งกลุ่มใหญ่ๆ ได้สองกลุ่มคือ "โลกียญาณ" หรือญาณในแบบทางโลก และ "โลกุตรญาณ" หรือญาณในแบบทางธรรม
๓. ความเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง ของจิตและร่างกาย หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าอย่างนี้่ครับ ปกติ จิตวิญญาณมีภาวะการหยั่งรู้ได้เหนือกายสังขาร อยู่แล้ว แต่หากจิตวิญญาณไม่อาจประสาน หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายได้ มันก็ไม่สามารถสื่อสารให้ร่างกายรับรู้สิ่งที่มันรู้ได้ ในคนบางคน จิตวิญญาณรู้ว่าใครคือผู้มีธรรมทั้งยังเคารพนบนอมด้วย แต่สังขารของเขากลับไม่รู้และลบหลู่ก็ยังมี แต่ถ้าเมื่อใดที่จิตวิญญาณประสานการรับรู้ได้ดีกับร่างกายแล้ว ร่างกายนั้นก็จะทราบข้อมูลที่จิตวิญญาณของตนเองสื่อออกมาได้ ดังนั้น ญาณหยั่งรู้นี้ จึงเกิดจากความเป็นหนึ่งเดียวกันของจิตวิญญาณและสังขารด้วย
อนึ่ง ญาณเป็นผลมาจากการทำสมาธิหรือไม่ก็ได้ กล่าวคือ ในคนที่ทำสมาธิเจริญดี จนได้ผลเป็น "ญาณหยั่งรู้ต่างๆ" ก็มีได้ เป็นได้ แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ได้ทำสมาธิแล้วเกิดญาณขึ้นก็มีเช่น บางคนที่ประสบอุบัติเหตุแล้วฟื้นขึ้นมากลายเป็นคนมีญาณหยั่งรู้พิเศษ ก็มีได้ เป็นได้ ปกติ ในคนที่ฝึกสมาธิ ย่อมฝึกสมาธิเืพื่อให้ได้ผลเป็น "ฌาน" คือ "ความสงบสุข" ก่อนจากนั้นจึงค่อยพัฒนาเป็น "ญาณ" คือ "การหยั่งรู้" ในภายหลัง ดังที่กล่าวแล้วว่า "ญาณหยั่งรู้" ไม่ได้มีต้นตอแห่งการหยั่งรู้มาจากฝ่ายสังขารเลย สังขารเป็นเพียงผู้รับที่ประสานกับต้นตอแหล่งข้อมูลความรู้ได้ ก็จะสามารถรู้ได้ แต่หากไม่สามารถประสานได้ ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลย แต่ยังสามารถทำกิจได้เหมือนกับรู้เช่นกันเช่น อยู่ๆ เหมือนมีอะไรดลใจให้นำของไปให้คนบางคน ซึ่งเป็นผู้มีบุญบารมีโดยไม่รู้ตัวว่าทำไปเพื่ออะไร, อยู่ๆ นึกชอบหรือสนใจใครบางคน ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะชอบได้แต่ที่แท้จิตวิญญาณภายในขับดันให้เข้าไปหาผู้มีบุญบารมี เป็นต้น ดังที่เคยได้กล่่าวแล้วว่า "ต้นตอตัวรู้" มาจาก "ฝ่ายจิตวิญญาณ" อาจจะมาจากจิตวิญญาณภายในสังขารนั้นก็ได้ หรืออาจจะมาจากภายนอกที่ประสานเชื่อมโยงกันได้ ก็ได้ ไม่ว่าสังขารนั้นจะรับรู้โดยการเชื่อมโยงประสานกับตัวตนฝ่ายวิญญาณในแบบใด ก็นับว่ามี "ญาณ" หยั่งรู้ได้ทั้งสิ้น ในระดับที่ต่างกันไป ทั้งนี้ ในพระพุทธศาสนานับว่า "อาสวักขยญาณ" นับเป็น "ญาณหยั่งรู้" ที่เป็นที่สุด ถึงที่สุดแห่งธรรม ทำให้เกิดปัญญา หลุดพ้นจากทุกข์ได้แท้จริง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น