จิต

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555 0 ความคิดเห็น
จิต เป็นธรรมะ, ธรรมชาติ หนึ่ง ที่บริสุทธิ์ เรียกว่า "จิตประภัสสร" ไม่มีธรรมอื่นปะปนอยู่ก่อนมาแต่ดั้งเดิม จากนั้น เมื่อเกิดการปรุงแต่ง จิตจึงเข้าไปร่วมกับ "ธรรม" อื่นๆ แล้วจึงมีชื่อเรียกแตกต่างไปมากมาย เช่น เมื่อเข้าไปร่วมกับวิญญาณ ก็จะเรียกว่า "จิตวิญญาณ" บ้าง, เมื่อเข้าไปร่วมกับเวทนา ก็จะเรียกว่า "จิตใจ" บ้าง, เมื่อเข้าไปร่วมกับสัญญา ก็จะเรียกว่า "จิตสำนึก", "จิตใต้สำนึก" บ้าง, เมื่อเข้าไปร่วมกับสังขารปรุงแต่งไป ก็จะเรียกว่า "จิตสังขาร", "ปฏิสนธิจิต" บ้าง ฯลฯ ดังนั้น จิตจึงกระทำกิจได้หลายประการ เช่น กิจรู้ เมื่อร่วมกับ "วิญญาณขันธ์", กิจเกิด เมื่อร่วมกับ "สังขารขันธ์", กิจแสดงตน เมื่อร่วมกับ "รูปขันธ์", กิจเสพอารมณ์ธรรม เมื่อร่วมกับ "เวทนาขันธ์", กิจก่อกรรม เมื่อร่วมกับ "เจตนา" เป็นต้น ดังนี้แล้ว ดั้งเดิม จิตจึงเหมือนคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่ใช่คนที่ผิดหรือถูก, ดีหรือชั่ว มาก่อนเลย เป็นแต่เพียงผู้บริสุทธิ์เท่านั้น จะว่าเป็นพยานผู้รู้เห็น ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่เคยรู้เลย ก็ไม่ใช่ เพราะจิตอาจถูกดึงไปรู้บ้างในบางครั้ง และอาจไม่ถูกดึงไปรับรู้บ้าง ในบางครั้ง ก็ได้ ทั้งนี้ "จิตยังไม่ใช่นิพพาน" ด้วยเพราะ "มีการดำีรงอยู่" ในชาติและภพ ยังไม่สิ้นชาติขาดภพ ยังมีสภาพเป็นธาตุละเอียดที่เรียกว่า "มโนธาตุ" มิใช่ "นิพพานธาตุ" แต่อย่างใด


จิต มีหลากหลายมุมมอง ทำให้แปลความได้หลายความหมาย เช่น เมื่อมองจิตในมุมของ "ธาตุ" เราเรียกจิตว่า "มโนธาตุ" อันเป็นหนึ่งในธาตุพื้นฐานทั้ง ๗ ชนิด ได้แก่ มโนธาตุ, วิญญาณธาตุ, อากาสธาตุ, ปฐวีธาตุ, อาโปธาตุ, วาโยธาตุ, เตโชธาตุ (โปรดสังเกตุว่า มโนธาตุ และ วิญญาณธาตุ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน) ซึ่ง ธาตุทั้ง ๗ ชนิดนี้ สามารถผสมหรือแยกกันได้ด้วย แต่ถ้ามองจิตในด้าน "ขันธ์" แล้ว "จิต" จะปรากฏได้ในขันธ์ทั้ง ๕ ชนิด ได้แก่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และ วิญญาณ กล่าวคือ เมื่อจิตปรากฏใน "รูป" เราจะเห็น "รูปจิต" ในมิติทิพย์เป็นเหมือนแสงสว่างที่ไม่มีรูปร่างแน่ชัด บางท่านจึงเรียกรูปที่เห็นนี้ว่า "ดวงจิต" แต่เมื่อจิตปรากฏใน "เวทนา" จิตก็จะทำหน้าที่เป็นผู้เข้าเสพอารมณ์รู้, เมื่อใดจิตเข้าไปร่วมกับ "สัญญา" จิตนั้นก็จะเป็นผู้มั่นหมายในสัญญาขันธ์นั้น และเมื่อใดที่จิตเข้าไปร่วมกับ "สังขาร" ก็หมายถึงการเกิด เราเรียกจิตนั้นว่า "ปฏิสนธิจิต" (แต่ถ้าเพื่อการปรุงแต่ง ก็จะได้ "จิตสังขาร" เช่น โมหะจิต เป็นต้น) และเมื่อใดที่จิตเข้าร่วมกับ "วิญญาณ" เพื่อการเกิดในรูปนามใหม่ เราจะเรียกว่า "จิตวิญญาณ" (แต่ถ้าเืพื่อการรับรู้ ก็จะได้ "จิตรู้") โปรดสังเกตุว่า จิต ไม่ได้เป็นตัวหนึ่งตัวใดในขันธ์ห้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าหรือไม่ ก็ได้ทั้งสิ้น กล่าวคือ จิตจะเข้าไปผสมโรงกับขันธ์ห้าตัวใดหรือไม่ก็ได้ เมื่อใดจิตเข้าร่วมผสมโรงกับขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง จิตนั้นก็ไม่อิสระ และถูกขันธ์นั้นปรุงแต่งนำพาไปด้วยกัน จิตที่ถูกปรุงแต่งนำพาไปด้วยธรรมใดๆ ก็ตาม จึงมิอาจเรียกว่า "จิตประภัสสร" อันเป็น สภาวะธรรมดั้งเดิมแท้ของจิต ที่มีลักษณะหนึ่งเดียว คือ "จิตประภัสสร" แต่อย่างไรก็ตาม จิตนั้นก็ยังคงเดิมไม่แปรผัน ไม่ว่าจะถูกปรุงแต่งด้วยธรรมใด อุปมา เหมือนน้ำผสมกับน้ำมัน น้ำก็ยังเป็นน้ำบริสุทธิ์อยู่เช่นเดิม แต่จะกล่าวว่า "สารผสมน้ำกับน้ำมัน" เป็นน้ำที่บริสุทธิื์ก็หาได้ไม่ ดังนี้ จิตจึงมีชื่อเรียกแตกต่างออกไปมากมาย ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ลักษณะเดิมแท้เลย


คำว่า "จิตพุทธะ" จึงมิใช่ "จิตประภัสสร" และมิใช่ "จิตหนึ่ง" แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นหลังจากการถูกปรุงแต่งด้วย "วิญญาณขันธ์"  อันเป็นพุทธะ จึงเรียกว่า "จิตพุทธะ" และหากวิญญาณขันธ์นั้นเป็น "โพธิสัตว์" ผลที่ได้จากการปรุงแต่งก็เรียกว่า "โพธิจิต" แต่หากวิญญาณขันธ์นั้นเป็น "มาร" ก็จะมีคำเรียกว่า "จิตมาร" ซึ่งแท้แล้ว ล้วนไม่ใช่ "จิตหนึ่ง" หรือ "จิตประภัสสร" หรือ "สภาวะจิตแต่ดั้งเดิม" อันมีลักษณะหนึ่งเดียว คือ บริสุทธิ์ประภัสสรเท่านั้น คำเรียกจิตทั้งหลายที่แตกต่างกันไปนี้ ล้วนเป็นผลมาจากการปรุงแต่งทั้งสิ้น จิตแท้แล้วจึงมีสภาพ "ดำรงอยู่ในชาติและภพ" โดยมีการ "เกิดของจิต" ครั้งแรกหนึ่งครั้ง แล้วผสมกับธรรมอื่น เวียนว่ายไปในสามภพ ไม่เคยดับสูญ ตราบจนกว่าจะหลุดพ้นสภาวะแห่งจิต จึงจักนิพพาน ...



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 

©Copyright 2011 Mouth Buddha | TNB