ในการ "พัฒนามนุษย์" หรือ พัฒนาคนที่เป็นอมนุษย์ ให้เป็นมนุษย์ นั้น จำต้องทราบองค์ประกอบของความเป็น "มนุษย์" ก่อน ว่าแตกต่างอย่างไรกับ "คนที่เป็นอมุษย์" เมื่อทราบแล้ว จึงสามารถพัฒนาได้ตรงจุด อนึ่ง คนที่เป็นอมนุษย์นั้น มีทั้งกลุ่มที่พัฒนาตัวเองไปทางที่สูงขึ้นแต่ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ เช่น คนที่มีจิตวิญญาณแบบมนุษย์ต่างดาว และคนที่เสื่อมต่ำทรามลง จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ในกลุ่มคนที่มีจิตวิญญาณสูงกว่ามนุษย์ขึ้นไป สามารถโปรดธรรม สอนธรรมได้แต่ในกลุ่มคนที่มีจิตใจเสื่อมต่ำทรามนี้ จำต้องเข้าสู่กระบวนการ "กำเนิดใหม่" หรือ "ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างสังขารเดิม" เป็นการเกิดแบบ "โอปปาติกะ" คือ ไม่ผ่านครรภ์มารดา เป็นการสลายจิตวิญญาณภายใน เพื่อกำเนิดใหม่ บางคนได้รับ "พระวิญญาณบริสุทธิ์" ทำให้ได้กำเนิดใหม่เป็นผู้มีวิญญาณบริสุทธิ์ (แต่จิตยังคงเดิมไม่เปลี่ยน คือ มีจิตประภัสสร บริสุทธิ์ดังเดิม ไม่ว่าวิญญาณที่เข้ามาปรุงแต่งจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม) บางคนไม่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากกำเนิดใหม่ในทางที่สูงขึ้นแล้ว ย่อมเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ได้เ่ช่นกัน อนึ่ง มนุษย์มีองค์ประกอบย่อยมากมาย มีจิตมากกว่า ๑ ดวง (ยกเว้นเมื่อชะตาถึงฆาต จะเหลือดวงสุดท้ายดวงเดียว) และมีวิญญาณมากกว่า ๑ วิญญาณ ทำให้มีครบทั้ง รัก, ร้าย, โกรธ, โลภ, ดีใจ, เศร้าใจ, กลัว ในทางเต๋า เรียกว่า "ครบ ๗ พั่ว หรือ ๗ วิญญาณ" ในทางพุทธก็คือ มีกิเลส โลภ, โกรธ, หลง เป็นธรรมดา ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเลว, ถูกหรือผิด แต่เป็นธรรมะ, ธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผู้มีปัญญาเหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส แม้ทำกรรมบ้างก็แต่เพียงเล็กน้อย สามารถรับวิบากกรรมเศษเล็กน้อยนั้น "หมดได้ในชาติเดียว" จึงตรงต่อนิพพานได้ แม้จะมีกิเลสบ้างก็ตาม ...
มนุษย์
มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นสัตว์ชั้นสูง เป็น "คนผู้มีใจสูง" และพึงสอนได้ มีสังขารเป็น "คน" และมีจิตวิญญาณเป็น "มนุษย์ขึ้นไป" อนึ่ง คำว่า "คน" นี้ ไม่ใช่มนุษย์เสมอไป คนเป็นคำกว้างๆ หมายถึง สัตว์โลกพันธุ์เดียวกับเรานี้ ซึ่งคละเคล้า ละคน ปะปนกัน มีทั้งดี, ร้าย, ถูก, ผิด ฯลฯ แม้แต่ในคนหนึ่งๆ คนก็ผสมผสานทุกอย่าง เช่นนั้น ร้อยพ่อพันธุ์แม่ เป็นไปได้หลายแบบ มากมาย ตามแต่กรรมจะปรุงแต่งให้เป็นไป ดังนั้น จึงจะเอาแน่นอนอะไรกับคน ไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าคนแล้ว ก็มี "ความหลากหลาย" เป็นธรรมดา มีทั้งที่สอนธรรมจนบรรลุไม่ได้ และที่สอนธรรมจนบรรลุได้ (มนุษย์) ในบรรดาคนทั้งหลายเหล่านี้ จึงมีทั้งที่เป็น "มนุษย์" และ "อมนุษย์" คนที่เป็นมนุษย์จะมีใจสูง, ส่วนคนที่เป็นอมนุษย์จะมีจิตใจเสื่อมต่ำทราม การจะโปรดสอนธรรมแก่ "คน" จึงมีสองวิธี คือ ๑. เลือกคนที่เป็นมนุษย์อยู่แล้ว (เพราะพร้อมรับธรรมได้ทันที) และ ๒. พัฒนาจิตใจคนที่เป็นอมนุษย์ ให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ก่อน แล้วจึงโปรด สอนธรรม ในภายหลัง
ในการ "พัฒนามนุษย์" หรือ พัฒนาคนที่เป็นอมนุษย์ ให้เป็นมนุษย์ นั้น จำต้องทราบองค์ประกอบของความเป็น "มนุษย์" ก่อน ว่าแตกต่างอย่างไรกับ "คนที่เป็นอมุษย์" เมื่อทราบแล้ว จึงสามารถพัฒนาได้ตรงจุด อนึ่ง คนที่เป็นอมนุษย์นั้น มีทั้งกลุ่มที่พัฒนาตัวเองไปทางที่สูงขึ้นแต่ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ เช่น คนที่มีจิตวิญญาณแบบมนุษย์ต่างดาว และคนที่เสื่อมต่ำทรามลง จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ในกลุ่มคนที่มีจิตวิญญาณสูงกว่ามนุษย์ขึ้นไป สามารถโปรดธรรม สอนธรรมได้แต่ในกลุ่มคนที่มีจิตใจเสื่อมต่ำทรามนี้ จำต้องเข้าสู่กระบวนการ "กำเนิดใหม่" หรือ "ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างสังขารเดิม" เป็นการเกิดแบบ "โอปปาติกะ" คือ ไม่ผ่านครรภ์มารดา เป็นการสลายจิตวิญญาณภายใน เพื่อกำเนิดใหม่ บางคนได้รับ "พระวิญญาณบริสุทธิ์" ทำให้ได้กำเนิดใหม่เป็นผู้มีวิญญาณบริสุทธิ์ (แต่จิตยังคงเดิมไม่เปลี่ยน คือ มีจิตประภัสสร บริสุทธิ์ดังเดิม ไม่ว่าวิญญาณที่เข้ามาปรุงแต่งจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม) บางคนไม่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากกำเนิดใหม่ในทางที่สูงขึ้นแล้ว ย่อมเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ได้เ่ช่นกัน อนึ่ง มนุษย์มีองค์ประกอบย่อยมากมาย มีจิตมากกว่า ๑ ดวง (ยกเว้นเมื่อชะตาถึงฆาต จะเหลือดวงสุดท้ายดวงเดียว) และมีวิญญาณมากกว่า ๑ วิญญาณ ทำให้มีครบทั้ง รัก, ร้าย, โกรธ, โลภ, ดีใจ, เศร้าใจ, กลัว ในทางเต๋า เรียกว่า "ครบ ๗ พั่ว หรือ ๗ วิญญาณ" ในทางพุทธก็คือ มีกิเลส โลภ, โกรธ, หลง เป็นธรรมดา ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเลว, ถูกหรือผิด แต่เป็นธรรมะ, ธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผู้มีปัญญาเหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส แม้ทำกรรมบ้างก็แต่เพียงเล็กน้อย สามารถรับวิบากกรรมเศษเล็กน้อยนั้น "หมดได้ในชาติเดียว" จึงตรงต่อนิพพานได้ แม้จะมีกิเลสบ้างก็ตาม ...
ในการ "พัฒนามนุษย์" หรือ พัฒนาคนที่เป็นอมนุษย์ ให้เป็นมนุษย์ นั้น จำต้องทราบองค์ประกอบของความเป็น "มนุษย์" ก่อน ว่าแตกต่างอย่างไรกับ "คนที่เป็นอมุษย์" เมื่อทราบแล้ว จึงสามารถพัฒนาได้ตรงจุด อนึ่ง คนที่เป็นอมนุษย์นั้น มีทั้งกลุ่มที่พัฒนาตัวเองไปทางที่สูงขึ้นแต่ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ เช่น คนที่มีจิตวิญญาณแบบมนุษย์ต่างดาว และคนที่เสื่อมต่ำทรามลง จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ในกลุ่มคนที่มีจิตวิญญาณสูงกว่ามนุษย์ขึ้นไป สามารถโปรดธรรม สอนธรรมได้แต่ในกลุ่มคนที่มีจิตใจเสื่อมต่ำทรามนี้ จำต้องเข้าสู่กระบวนการ "กำเนิดใหม่" หรือ "ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างสังขารเดิม" เป็นการเกิดแบบ "โอปปาติกะ" คือ ไม่ผ่านครรภ์มารดา เป็นการสลายจิตวิญญาณภายใน เพื่อกำเนิดใหม่ บางคนได้รับ "พระวิญญาณบริสุทธิ์" ทำให้ได้กำเนิดใหม่เป็นผู้มีวิญญาณบริสุทธิ์ (แต่จิตยังคงเดิมไม่เปลี่ยน คือ มีจิตประภัสสร บริสุทธิ์ดังเดิม ไม่ว่าวิญญาณที่เข้ามาปรุงแต่งจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม) บางคนไม่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากกำเนิดใหม่ในทางที่สูงขึ้นแล้ว ย่อมเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ได้เ่ช่นกัน อนึ่ง มนุษย์มีองค์ประกอบย่อยมากมาย มีจิตมากกว่า ๑ ดวง (ยกเว้นเมื่อชะตาถึงฆาต จะเหลือดวงสุดท้ายดวงเดียว) และมีวิญญาณมากกว่า ๑ วิญญาณ ทำให้มีครบทั้ง รัก, ร้าย, โกรธ, โลภ, ดีใจ, เศร้าใจ, กลัว ในทางเต๋า เรียกว่า "ครบ ๗ พั่ว หรือ ๗ วิญญาณ" ในทางพุทธก็คือ มีกิเลส โลภ, โกรธ, หลง เป็นธรรมดา ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเลว, ถูกหรือผิด แต่เป็นธรรมะ, ธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผู้มีปัญญาเหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส แม้ทำกรรมบ้างก็แต่เพียงเล็กน้อย สามารถรับวิบากกรรมเศษเล็กน้อยนั้น "หมดได้ในชาติเดียว" จึงตรงต่อนิพพานได้ แม้จะมีกิเลสบ้างก็ตาม ...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น