นอกจากพระพุทธเจ้าจะเป็นมหาบุรุษเพศแล้ว พระโพธิสัตว์ทุกองค์บนสวรรค์ก็เป็นมหาบุรุษเพศด้วย และมนุษย์เองก็สามารถเป็นมหาบุรุษเพศได้ "ทั้งคนที่มีร่างสังขารเป็นชายหรือหญิงก็ตาม" อนึ่ง แรกเริ่มนั้น มนุษย์โลกล้วนมีแต่มหาบุรุษเพศ จากนั้น จึุงเสื่อมลงเกิดมี "เพศชาย" ขึ้น มนุษย์เพศชายนี้ ต่างจากมหาบุรุษเพศ กล่าวคือ เป็นผู้แสวงหาคู่ครอง อันเป็นเพศตรงข้ามกับตน หรือสนองความรักความใคร่ของตนได้ ดังนี้ เพศชายจึงใฝ่หาสตรีเพศเพียงเพื่อสนองความรักความใคร่เท่านั้น มิได้เห็นคุณค่าหรือความเป็นสตรี ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า สูงส่ง อย่างใดเลย มนุษย์เพศชายทั้งหลาย ย่อมกระทำต่อสตรีเพศ เยี่ยงสัตว์ที่ต่ำกว่าตนเป็นธรรมดาของโลก ทั้งนี้เพื่อให้สตรีเพศ ไม่หลงใหลในความเป็นสตรีเพศมากเกินไป แต่ในใจของเพศชาย ล้วนมองขึ้นไปหา "มหาบุรุษเพศ" ทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้ชายมากมาย อาจรำคาญผู้หญิง แม้เขาจะเป็นแฟนก็ตาม ในเวลาที่เขากำลัง "ดูบอล" เพราะนักฟุตบอล อาจมีลักษณะคล้าย "มหาบุรุษเพศ" ที่เขาปรารถนา และนั่นจะขับดันให้เขาพัฒนาตัวเองจนหลุดพ้นจาก "เพศชาย" ไปสู่ "มหาบุรุษเพศ" ได้ ในขณะที่เพศหญิง ก็จะเบื่อหน่ายและเข็ดหลาบในความทุกข์ที่ได้รับจากสตรีเพศ ทำให้ปรารถนาความเ็ป็นชายได้ในที่สุด จึงหลุดพ้นจากสตรีเพศ ในบางกรณี "มหาบุรุษเพศ" อาจยอมสละ "สังขารแห่งความเป็นชาย" เพื่อเกิดมาในร่างของสตรีเพศ เพื่อทำหน้าที่ในแบบที่สังขารแห่งบุรุษเพศทำไม่ได้ เช่น การเป็นภรรยาของชายที่มีอำนาจและหลงตัวเองอยู่ จำต้องเกิดเป็นหญิง ดังนั้น "มหาบุรุษเพศ" นั้น สามารถยอมสละเพศชายแล้วมาเกิดเป็นเพศหญิงได้ ในบางชาติ ก็เกิดมาเป็นผู้ชายก่อน แล้วตัดอวัยเพศชาย กลายเป็นหญิง ก็มี ส่วน "เพศชาย" เมื่อเสื่อมลงจะไปเกิดเป็นเพศหญิงนั้น ก็ด้วย "จิตลุ่มหลงฝักใฝ่ในสตรีเพศ" มากเกินไป มีมากรัก, หลายคู่ เมื่อผิดศีลข้อสามแล้ว เสื่อมลงจนไม่อาจเกิดเป็นเพศชายได้อีกด้วยเหตุนี้
มหาบุรุษเพศ
มหาบุรุษเพศ คือ เพศดั้งเดิมเริ่มต้นของมวลมนุษย์ทั้งปวงก่อนที่จะเสื่อมลงเป็นเพศชายและเพศหญิงซึ่ง "มหาบุรุษเพศ" พบได้ในพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นเพศที่พ้นแล้ว เหนือแล้วจากการเกิดมาเพื่อครองคู่ นั่นคือ เกิดมาเพื่อกิจที่สำคัญกว่านั้น เมื่อบุคคลใดสละความรัก, การครองคู่เพื่อสิ่งที่สำคัญกว่า เพื่อผู้อื่นได้ เข้าย่อมเข้าถึงซึ่ง "มหาบุรุษเพศ" ทางจิตวิญญาณ แม้ว่าร่างสังขารอาจเป็นสตรีเพศก็ตาม เช่น สตรีที่ยอมสละความรัก, คู่ครอง เพื่อผู้อื่น เป็นผู้อยู่เหนือแล้วจากการเกิดมาเพื่อครองคู่ พ้นจากเพศแห่งคู่ คือ เพศชายและหญิง จึงถึงซึ่งมหาบุรุษเพศ เฉกเช่น พระพุทธเ้จ้าทั้งหลายทั้งปวง ย่อมเกิดจากมหาบุรุษเพศเท่านั้น แม้ว่า "ร่างสังขารจะเป็นสตรี" แต่ถ้าจิตวิญญาณถึงซึ่งความเป็นมหาบุรุษเพศแล้ว บุคคลนั้นย่อมถึงซึ่ง "พุทธสภาวะ" ได้เช่นกัน (สตรีก็บรรลุเป็นพุทธะได้ หากเข้าถึงซึ่งความเป็นมหาบุรุษเพศได้)
นอกจากพระพุทธเจ้าจะเป็นมหาบุรุษเพศแล้ว พระโพธิสัตว์ทุกองค์บนสวรรค์ก็เป็นมหาบุรุษเพศด้วย และมนุษย์เองก็สามารถเป็นมหาบุรุษเพศได้ "ทั้งคนที่มีร่างสังขารเป็นชายหรือหญิงก็ตาม" อนึ่ง แรกเริ่มนั้น มนุษย์โลกล้วนมีแต่มหาบุรุษเพศ จากนั้น จึุงเสื่อมลงเกิดมี "เพศชาย" ขึ้น มนุษย์เพศชายนี้ ต่างจากมหาบุรุษเพศ กล่าวคือ เป็นผู้แสวงหาคู่ครอง อันเป็นเพศตรงข้ามกับตน หรือสนองความรักความใคร่ของตนได้ ดังนี้ เพศชายจึงใฝ่หาสตรีเพศเพียงเพื่อสนองความรักความใคร่เท่านั้น มิได้เห็นคุณค่าหรือความเป็นสตรี ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า สูงส่ง อย่างใดเลย มนุษย์เพศชายทั้งหลาย ย่อมกระทำต่อสตรีเพศ เยี่ยงสัตว์ที่ต่ำกว่าตนเป็นธรรมดาของโลก ทั้งนี้เพื่อให้สตรีเพศ ไม่หลงใหลในความเป็นสตรีเพศมากเกินไป แต่ในใจของเพศชาย ล้วนมองขึ้นไปหา "มหาบุรุษเพศ" ทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้ชายมากมาย อาจรำคาญผู้หญิง แม้เขาจะเป็นแฟนก็ตาม ในเวลาที่เขากำลัง "ดูบอล" เพราะนักฟุตบอล อาจมีลักษณะคล้าย "มหาบุรุษเพศ" ที่เขาปรารถนา และนั่นจะขับดันให้เขาพัฒนาตัวเองจนหลุดพ้นจาก "เพศชาย" ไปสู่ "มหาบุรุษเพศ" ได้ ในขณะที่เพศหญิง ก็จะเบื่อหน่ายและเข็ดหลาบในความทุกข์ที่ได้รับจากสตรีเพศ ทำให้ปรารถนาความเ็ป็นชายได้ในที่สุด จึงหลุดพ้นจากสตรีเพศ ในบางกรณี "มหาบุรุษเพศ" อาจยอมสละ "สังขารแห่งความเป็นชาย" เพื่อเกิดมาในร่างของสตรีเพศ เพื่อทำหน้าที่ในแบบที่สังขารแห่งบุรุษเพศทำไม่ได้ เช่น การเป็นภรรยาของชายที่มีอำนาจและหลงตัวเองอยู่ จำต้องเกิดเป็นหญิง ดังนั้น "มหาบุรุษเพศ" นั้น สามารถยอมสละเพศชายแล้วมาเกิดเป็นเพศหญิงได้ ในบางชาติ ก็เกิดมาเป็นผู้ชายก่อน แล้วตัดอวัยเพศชาย กลายเป็นหญิง ก็มี ส่วน "เพศชาย" เมื่อเสื่อมลงจะไปเกิดเป็นเพศหญิงนั้น ก็ด้วย "จิตลุ่มหลงฝักใฝ่ในสตรีเพศ" มากเกินไป มีมากรัก, หลายคู่ เมื่อผิดศีลข้อสามแล้ว เสื่อมลงจนไม่อาจเกิดเป็นเพศชายได้อีกด้วยเหตุนี้
นอกจากพระพุทธเจ้าจะเป็นมหาบุรุษเพศแล้ว พระโพธิสัตว์ทุกองค์บนสวรรค์ก็เป็นมหาบุรุษเพศด้วย และมนุษย์เองก็สามารถเป็นมหาบุรุษเพศได้ "ทั้งคนที่มีร่างสังขารเป็นชายหรือหญิงก็ตาม" อนึ่ง แรกเริ่มนั้น มนุษย์โลกล้วนมีแต่มหาบุรุษเพศ จากนั้น จึุงเสื่อมลงเกิดมี "เพศชาย" ขึ้น มนุษย์เพศชายนี้ ต่างจากมหาบุรุษเพศ กล่าวคือ เป็นผู้แสวงหาคู่ครอง อันเป็นเพศตรงข้ามกับตน หรือสนองความรักความใคร่ของตนได้ ดังนี้ เพศชายจึงใฝ่หาสตรีเพศเพียงเพื่อสนองความรักความใคร่เท่านั้น มิได้เห็นคุณค่าหรือความเป็นสตรี ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า สูงส่ง อย่างใดเลย มนุษย์เพศชายทั้งหลาย ย่อมกระทำต่อสตรีเพศ เยี่ยงสัตว์ที่ต่ำกว่าตนเป็นธรรมดาของโลก ทั้งนี้เพื่อให้สตรีเพศ ไม่หลงใหลในความเป็นสตรีเพศมากเกินไป แต่ในใจของเพศชาย ล้วนมองขึ้นไปหา "มหาบุรุษเพศ" ทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้ชายมากมาย อาจรำคาญผู้หญิง แม้เขาจะเป็นแฟนก็ตาม ในเวลาที่เขากำลัง "ดูบอล" เพราะนักฟุตบอล อาจมีลักษณะคล้าย "มหาบุรุษเพศ" ที่เขาปรารถนา และนั่นจะขับดันให้เขาพัฒนาตัวเองจนหลุดพ้นจาก "เพศชาย" ไปสู่ "มหาบุรุษเพศ" ได้ ในขณะที่เพศหญิง ก็จะเบื่อหน่ายและเข็ดหลาบในความทุกข์ที่ได้รับจากสตรีเพศ ทำให้ปรารถนาความเ็ป็นชายได้ในที่สุด จึงหลุดพ้นจากสตรีเพศ ในบางกรณี "มหาบุรุษเพศ" อาจยอมสละ "สังขารแห่งความเป็นชาย" เพื่อเกิดมาในร่างของสตรีเพศ เพื่อทำหน้าที่ในแบบที่สังขารแห่งบุรุษเพศทำไม่ได้ เช่น การเป็นภรรยาของชายที่มีอำนาจและหลงตัวเองอยู่ จำต้องเกิดเป็นหญิง ดังนั้น "มหาบุรุษเพศ" นั้น สามารถยอมสละเพศชายแล้วมาเกิดเป็นเพศหญิงได้ ในบางชาติ ก็เกิดมาเป็นผู้ชายก่อน แล้วตัดอวัยเพศชาย กลายเป็นหญิง ก็มี ส่วน "เพศชาย" เมื่อเสื่อมลงจะไปเกิดเป็นเพศหญิงนั้น ก็ด้วย "จิตลุ่มหลงฝักใฝ่ในสตรีเพศ" มากเกินไป มีมากรัก, หลายคู่ เมื่อผิดศีลข้อสามแล้ว เสื่อมลงจนไม่อาจเกิดเป็นเพศชายได้อีกด้วยเหตุนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น