อัน "ธรรมของพระพุึทธเจ้า" นั้น มิใช่อัตตา มิใช่ธรรมของเราทั้งหลาย ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลายท่านอยากเก่ง อยากเด่น อยากดัง อยากเป็นพระมีชื่อเสียง อยากเป็นฆราวาสสอนธรรมผู้อื่น มิได้ตรัสรู้เอง มิได้ค้นพบธรรมเอง ไปอ่านเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามา แล้วไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ กลายเป็น "ติดเปลือกธรรม" เมื่อเกิดเวทนาหวั่นไหวในเปลือกธรรมนั้น ก็นำไปสู่การมีทัศนคติที่เอนเอียงต่อธรรม แล้วนำไปสู่การปฏิบัติที่เอียง มิใช่ทางสายกลางแต่อย่างใด สุดท้าย เมื่อการปฏิบัติผิด นำไปสู่ปัญหาต่างๆ กลายเป็น "พิษ" ที่เรียกว่า "พิษธรรมะ" ได้ในท้ายที่สุด จึงได้เตือนท่านทั้งหลายไว้ ด้วยความปราถนาดี ณ ที่นี้
เปลือกธรรม
เปลือกธรรม เป็นคำที่ไม่มีในอธิธรรม แต่เขียนขึ้นเพื่ออธิบายความจริงบางประการ ของคนที่ศึกษาธรรมของผู้อื่น มิได้ตรัสรู้เอง แล้วติดเพียงเปลือกนอกของธรรมนั้นๆ เช่น เมื่อได้ไปศึกษาธรรมของพระพุทธองค์แล้ว มิได้เกิดปัญญาแจ้งในธรรมนั้น มิเห็น "ธรรมในธรรม" ว่า แท้แล้วแก่นแท้ในธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ล้วนเป็น "สัจธรรม, ธรรมะ, ธรรมชาติ และธรรมดา" เมื่อไม่เห็นเป็นธรรมดา จิตจึงไม่เป็นกลางต่อธรรม ธรรมใดเป็นฝ่ายให้คุณก็เกิดทัศนคติเชิงบวกกับธรรมนั้น ธรรมใดเป็นฝ่ายให้โทษก็เกิดทัศนคติเชิงลบกับธรรมนั้น เช่น เห็นว่ากิเลส, อวิชชา, ตัณหา, อุปทาน เป็นของไม่ดี ต้องกำจัด, ต้องทำลาย, ต้องตัด, ต้องดับ ฯลฯ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงธรรมะ ธรรมดา ไม่ใช่อัตตาตัวตนของเรา แต่แรกแล้ว อนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดแล้ว ดับไป ไม่ยั่งยืนอยู่ได้ ตามแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง สิ้นอำนาจแห่งเหตุปัจจัยนั้น ธรรมนั้นก็ดับลง เท่านั้นเอง เมื่อไม่เห็น "ธรรมดาในธรรม" หรือ "ธรรมในธรรม" ดังนี้ แล้ว ทั้งยังเกิดเวทนาหวั่นไหวเพราะธรรมที่ได้ยิน, ได้ฟัง, ได้อ่าน ฯลฯ มานั้น มีทัศนคติเชิงลบและบวก ไม่เป็นกลางต่อธรรมทั้งหลายนั้น ก็นำไปสู่การ "ปฏิบัติที่เอนเอียง" ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นกลาง ไม่ใช่อริยมรรคที่แท้จริง เช่น ไปเพียรจม นั่งตัดกิเลส, ไปเพียรจมนั่งดับอวิชชา, ไปเพียรจมนั่งทำนิพพานให้แจ้ง ฯลฯ อนึ่ง การได้รับธรรมเพียงน้อยนิด แต่เข้าถึง "ธรรมในธรรม" ที่ได้รับนั้น ยังดีเสียกว่าได้รับธรรมมากมาย แต่ไม่เข้าถึง "ธรรมในธรรม" เลย เพราะการไม่เข้าถึงธรรมในธรรม อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด และปัญหามากมายได้
อัน "ธรรมของพระพุึทธเจ้า" นั้น มิใช่อัตตา มิใช่ธรรมของเราทั้งหลาย ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลายท่านอยากเก่ง อยากเด่น อยากดัง อยากเป็นพระมีชื่อเสียง อยากเป็นฆราวาสสอนธรรมผู้อื่น มิได้ตรัสรู้เอง มิได้ค้นพบธรรมเอง ไปอ่านเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามา แล้วไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ กลายเป็น "ติดเปลือกธรรม" เมื่อเกิดเวทนาหวั่นไหวในเปลือกธรรมนั้น ก็นำไปสู่การมีทัศนคติที่เอนเอียงต่อธรรม แล้วนำไปสู่การปฏิบัติที่เอียง มิใช่ทางสายกลางแต่อย่างใด สุดท้าย เมื่อการปฏิบัติผิด นำไปสู่ปัญหาต่างๆ กลายเป็น "พิษ" ที่เรียกว่า "พิษธรรมะ" ได้ในท้ายที่สุด จึงได้เตือนท่านทั้งหลายไว้ ด้วยความปราถนาดี ณ ที่นี้
อัน "ธรรมของพระพุึทธเจ้า" นั้น มิใช่อัตตา มิใช่ธรรมของเราทั้งหลาย ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลายท่านอยากเก่ง อยากเด่น อยากดัง อยากเป็นพระมีชื่อเสียง อยากเป็นฆราวาสสอนธรรมผู้อื่น มิได้ตรัสรู้เอง มิได้ค้นพบธรรมเอง ไปอ่านเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามา แล้วไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ กลายเป็น "ติดเปลือกธรรม" เมื่อเกิดเวทนาหวั่นไหวในเปลือกธรรมนั้น ก็นำไปสู่การมีทัศนคติที่เอนเอียงต่อธรรม แล้วนำไปสู่การปฏิบัติที่เอียง มิใช่ทางสายกลางแต่อย่างใด สุดท้าย เมื่อการปฏิบัติผิด นำไปสู่ปัญหาต่างๆ กลายเป็น "พิษ" ที่เรียกว่า "พิษธรรมะ" ได้ในท้ายที่สุด จึงได้เตือนท่านทั้งหลายไว้ ด้วยความปราถนาดี ณ ที่นี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น