สุตตันตะของพระตถาคต
"ภิกษุ ท.! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตรเป็นเรื่องแนวนอก เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และ จักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน"
"ภิกษุ ท.! ส่วน สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่า เฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา,เมื่อมีผู้นำสุตตันตะ เหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟังย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนจึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ? ” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้. ธรรมที่ยัง ไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้"
ดังนั้น การศึกษาธรรม จึงต้องตรงต่อพระพุทธเ้จ้า เพียงองค์เดียว ไม่มีอื่น และไม่อาจรับธรรมจากพระสาวกองค์อื่นได้เลย เพราะไม่อาจนับเป็นสุตมยปัญญาได้ เมื่อไม่ได้สุตมยปัญญา ย่อมไม่อาจได้ถึงซึ่ง จินตมยปัญญาและ ภาวนามยปัญญา ด้วย นั่นหมายถึงว่า หากเราต้องการได้เข้าสู่ธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ เราต้องเริ่มต้นขั้นแรกให้ตรงสู่พระพุทธเจ้าจริงๆ เท่านั้น ไม่อาจรับธรรมผ่านพระอรหันตสาวกองค์ใดได้เลย แม้ว่าพระรัตนตรัยจะมีสาม คือ พระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์ก็ตาม แต่ผู้ที่ทำหน้าที่สอนธรรม โปรดสัตว์ ก็ยังคงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่่านั้น คือ พระพุทธเ้จ้า พระอรหันตสาวกไม่ว่าองค์ไหนๆ ก็ไม่อาจกระทำกิจนี้แทนพระพุทธเจ้าได้เลย พระสงฆ์สาวกไม่มีกิจในการสอนธรรม โปรดสัตว์อย่างพระศาสดา มีเพียงหน้าที่อื่นๆ เช่น การบวชให้แก่พระภิกษุรูปอื่น เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่เมื่อบุคคลได้บวชแล้ว หากต้องการรับธรรม จำต้องรับโดยตรงจากพระพุทธเจ้าเท่าันั้น พระองค์เดียว ไม่มีอื่น ซึ่งแม้ว่าท่านจะกระทำขันธปรินิพพาน ไม่มีขันธ์ห้าเหลือแล้ว ยังสามารถรับได้ด้วยวิธีจิตสู่จิต โดยตรงไม่ผ่านสิ่งอื่น ไม่ผ่านตำราใดๆ ไม่ผ่านพระสงฆ์สาวกองค์ใดๆ ตามสัจวาจาที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้ว่าจะทรงโปรดสัตว์ต่อไป ตราบเท่าที่ยังคงมีผู้สนใจปฏิบัติ เพียรพยายาม จนกว่าจะสิ้นอายุพุทธกาลห้าพันปี อนึ่ง การศึกษาเล่าเรียนธรรมผ่านตำรา ทั้งการศึกษาที่เรียกว่าปริยัติธรรม ในปัจจุบัน ที่มีระบบการศึกษาคล้ายการศึกษาแบบตะวันตกนั้น มิอาจเรียกว่าเป็น "สุตมยปัญญา" เพราะมิได้ยิน ได้ฟัง หรือรับธรรมโดย ตรงจากพระพุทธเจ้า นับเป็นเพียงการศึกษาแบบทางโลก ที่ได้เนื้อหาจากธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทั้งยังไม่อาจเรียกได้ว่า "สัจจานุโพโธ" ด้วย เพราะไม่ใช่การ "รู้แจ้งธรรมตามจริง" จึงจัดได้ว่าเป็นเพียง "ปริยัติธรรม" เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ต่างจากการศึกษาเล่าเรียนธรรมของพราหมณ์เหล่าอื่น แต่อย่างใดเลย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น