บุคคลจะพึงอาศัยความศรัทธาหรือมีจิตตรงต่อพระสาวก ที่เรียกว่า "หลวงปู่, หลวงพ่อ" ครูบาอาจารย์อันประเสริฐของตน แต่กลับไม่มีจิตตรง ศรัทธาแท้ต่อ "พระพุทธเจ้าที่แท้จริง" เขาผู้นั้นไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้ แต่เขาอาจถึงซึ่งอรหันตผลในสายธรรมอื่นๆ อันเชื่อมต่อตรงมาสู่โลก เช่น สายธรรมของพระอามิตภะ, พระพุทธะ (ยูไล) ที่สถิตย์ ณ สุขาวดีโลกธาตุต่างๆ เป็นต้น บุคคลผู้บรรลุอรหันตผลเช่นนี้ จะยังไม่ถึงวาระนิพพาน และจะจุติยังสุขาวดีสวรรค์ เรียกว่า "อรหันตโพธิสัตว์" อันมีพระพุทธะอื่นๆ เป็นต้นสายธรรม ทั้งนี้ ควรเข้าใจด้วยว่า คำว่า "พุทธะ" เป็นคำกว้างๆ กลางๆ หมายถึง "จิตวิญญาณ" ที่มีลักษณะและความเป็นพุทธะอันแท้จริง ซึ่งเป็น "จิตวิญญาณ" ต้นธาตุ, ต้นธรรม และต้นกำเนิดของจิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวล หมายความว่า จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวลนั้น ต่างก็กำเนิดมาจาก "พุทธะ" ทั้งสิ้น อนึ่ง พึงทราบด้วยว่า "พุทธะ คือ จิตวิญญาณ" มิใช่ "จิต" อย่างเีดีัยว ด้วยเพราะมี "วิญญาณ" ปรุงแต่ง จึงเป็นพุทธะได้ ส่วนจิตนั้น บริสุทธิ์ประภัสสร ดังเดิมแท้ก่อนถูกปรุงแต่ง ไม่มีทั้ง "พุทธะ" หรือ "อพุทธะ" แต่เมื่อได้รับการปรุงแต่งแล้ว "จิตวิญญาณ" จึงเป็นพุทธะ (แต่จิตนั้นก็ยังคงเป็นจิตประภัสสรเช่นเดิม เหมือนเอาน้ำผสมกับน้ำมัน ส่วนของน้ำ ก็ยังเป็นน้ำเช่นเดิม) อนึ่ง คำว่า "พุทธะ" นี้ ภาษาจีนคือ "ยูไล" ซึ่งสามารถสำเร็จได้ หลายทาง ไม่จำเป็นต้องต่อสายธรรม หรือรับธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อบรรลุยูไล หรือจิตวิญญาณกลับสู่ "ภาวะเดิมแท้" ดังเดิม (จิตวิญญาณต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นกำิเนิด) แล้ว หากมิใช่กิจที่จะมาทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจเป็น "เจ้าแห่งพุทธะ" จึงไม่ใช่พระพุทธเ้จ้า เมื่อทำหน้าที่ตามกิจของตน อันไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้าแล้วจะยังไม่นิพพานบนโลกนี้จึงจุติสู่ "สุขาวดีโลกธาตุ" (ในขณะที่พระพุทธเจ้าเมื่อจบกิจละสังขารแล้ว จะนิพพานบนดาวโลกนี้ หรือดาวโลกที่ตนไปเกิด) เมื่อจุติที่สุขาวดีโลกธาตุ จะนับว่าเป็น "พระพุทธเจ้าบนสุขาวดีโลกธาตุนั้น" อีกพระองค์หนึ่ง (มีหลายพระองค์) แต่ไม่อาจใช้คำเรียกว่าพระพุทธเจ้า "บนโลกนี้ได้" เพราะจะเกิดความสับสน และทับซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีแต่พระสมณโคดม เพียงพระองค์เดียว ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกนัยว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า บนโลกนี้ ที่เกิด, ตรัสรู้ และนิพพาน บนโลกนี้ แต่ "พุทธะ" (หรือพระยูไล) คือ ผู้ที่จะได้ไปเกิด, ตรัสรู้ และนิพพานใน "โลกธาตุอื่น" คือ "พุทธเกษตรทั้งหลาย" (ซึ่งมีอยู่มากมาย) เช่น "สุขาวดีโลกธาตุ" เป็นต้น
พระพุทธเจ้า พุทธะ พระยูไล
พระพุทธเจ้าคือ ผู้รู้, ผู้ตื่น, ผู้เบิกบานเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้โดยชอบเป็น "พระองค์แรก" ในยุคนั้นๆ หมายความว่าก่อนหน้านั้น ไม่มีผู้บรรลุธรรมอยู่เป็นมนุษย์บนโลก หรือผู้บรรลุธรรมคนสุดท้ายได้ละสังขารขาดสายสิ้นไปจากโลกแล้ว เมื่อท่านบรรลุอรหันต์เป็นพระองค์แรกด้วยตนเอง ที่เรียกว่าการ "ตรัสรู้" แล้วมีหน้าที่โปรดสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่นิพพานตามพระองค์ไปจึงนับเป็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้ต่างจาก "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่เมื่อตรัสรู้อรหันตผลแล้วไม่มีหน้าที่ในการสอนสัตว์ให้นิพพานตามตนไป (แต่อาจมีหน้าที่อย่างอื่น) อันบุคคลจะถึงซึ่งนิพพานได้ จึงต้องมีจิตตรง ศรัทธาตรง "ต่อพระพุทธเจ้าแท้จริง" ไม่อาจมีจิตตรงต่อสิ่งอื่นๆ หรือศรัทธาสิ่งอื่น แล้วจะถึงซึ่งนิพพานได้ เช่น มารแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า, นิมิตภาพแห่งพระพุทธเจ้า, สิ่งอื่นใดอันทำให้คิดว่าเป็นพระพุทธเ้จ้า แต่มิใช่พระพุทธเจ้า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ บุคคลมีจิตตรงแล้ว, ศรัทธาแล้ว ก็ไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้ ตราบเมื่อสิ้นยุคของพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าสู่ยุคของพระปัจเจกพุทธเจ้าๆ จึงจะถึงซึ่งนิพพานได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีจิตตรงต่อพระพุทธเจ้าที่แท้จริงเลย แต่หากยังอยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าแล้ว บุคคลจะถึงซึ่งพระนิพพาน จำต้องมีจิตตรง, ศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้าที่แท้จริง อันเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสาม ที่เรียกว่า "พระรัตนตรัย" จริงอยู่ว่านิพพานไม่มีเหตุปัจจัยหนุนเนื่องให้เกิด, ให้ดำรงอยู่, ให้ดับไป ในกาลทั้งสาม แต่บุคคลใดจะถึงซึ่งนิพพานแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องมี "พระรัตนตรัย" ครบสมบูรณ์ก่อนจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้เป็น "เหตุจอง" ไว้ก่อน
บุคคลจะพึงอาศัยความศรัทธาหรือมีจิตตรงต่อพระสาวก ที่เรียกว่า "หลวงปู่, หลวงพ่อ" ครูบาอาจารย์อันประเสริฐของตน แต่กลับไม่มีจิตตรง ศรัทธาแท้ต่อ "พระพุทธเจ้าที่แท้จริง" เขาผู้นั้นไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้ แต่เขาอาจถึงซึ่งอรหันตผลในสายธรรมอื่นๆ อันเชื่อมต่อตรงมาสู่โลก เช่น สายธรรมของพระอามิตภะ, พระพุทธะ (ยูไล) ที่สถิตย์ ณ สุขาวดีโลกธาตุต่างๆ เป็นต้น บุคคลผู้บรรลุอรหันตผลเช่นนี้ จะยังไม่ถึงวาระนิพพาน และจะจุติยังสุขาวดีสวรรค์ เรียกว่า "อรหันตโพธิสัตว์" อันมีพระพุทธะอื่นๆ เป็นต้นสายธรรม ทั้งนี้ ควรเข้าใจด้วยว่า คำว่า "พุทธะ" เป็นคำกว้างๆ กลางๆ หมายถึง "จิตวิญญาณ" ที่มีลักษณะและความเป็นพุทธะอันแท้จริง ซึ่งเป็น "จิตวิญญาณ" ต้นธาตุ, ต้นธรรม และต้นกำเนิดของจิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวล หมายความว่า จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวลนั้น ต่างก็กำเนิดมาจาก "พุทธะ" ทั้งสิ้น อนึ่ง พึงทราบด้วยว่า "พุทธะ คือ จิตวิญญาณ" มิใช่ "จิต" อย่างเีดีัยว ด้วยเพราะมี "วิญญาณ" ปรุงแต่ง จึงเป็นพุทธะได้ ส่วนจิตนั้น บริสุทธิ์ประภัสสร ดังเดิมแท้ก่อนถูกปรุงแต่ง ไม่มีทั้ง "พุทธะ" หรือ "อพุทธะ" แต่เมื่อได้รับการปรุงแต่งแล้ว "จิตวิญญาณ" จึงเป็นพุทธะ (แต่จิตนั้นก็ยังคงเป็นจิตประภัสสรเช่นเดิม เหมือนเอาน้ำผสมกับน้ำมัน ส่วนของน้ำ ก็ยังเป็นน้ำเช่นเดิม) อนึ่ง คำว่า "พุทธะ" นี้ ภาษาจีนคือ "ยูไล" ซึ่งสามารถสำเร็จได้ หลายทาง ไม่จำเป็นต้องต่อสายธรรม หรือรับธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อบรรลุยูไล หรือจิตวิญญาณกลับสู่ "ภาวะเดิมแท้" ดังเดิม (จิตวิญญาณต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นกำิเนิด) แล้ว หากมิใช่กิจที่จะมาทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจเป็น "เจ้าแห่งพุทธะ" จึงไม่ใช่พระพุทธเ้จ้า เมื่อทำหน้าที่ตามกิจของตน อันไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้าแล้วจะยังไม่นิพพานบนโลกนี้จึงจุติสู่ "สุขาวดีโลกธาตุ" (ในขณะที่พระพุทธเจ้าเมื่อจบกิจละสังขารแล้ว จะนิพพานบนดาวโลกนี้ หรือดาวโลกที่ตนไปเกิด) เมื่อจุติที่สุขาวดีโลกธาตุ จะนับว่าเป็น "พระพุทธเจ้าบนสุขาวดีโลกธาตุนั้น" อีกพระองค์หนึ่ง (มีหลายพระองค์) แต่ไม่อาจใช้คำเรียกว่าพระพุทธเจ้า "บนโลกนี้ได้" เพราะจะเกิดความสับสน และทับซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีแต่พระสมณโคดม เพียงพระองค์เดียว ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกนัยว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า บนโลกนี้ ที่เกิด, ตรัสรู้ และนิพพาน บนโลกนี้ แต่ "พุทธะ" (หรือพระยูไล) คือ ผู้ที่จะได้ไปเกิด, ตรัสรู้ และนิพพานใน "โลกธาตุอื่น" คือ "พุทธเกษตรทั้งหลาย" (ซึ่งมีอยู่มากมาย) เช่น "สุขาวดีโลกธาตุ" เป็นต้น
บุคคลจะพึงอาศัยความศรัทธาหรือมีจิตตรงต่อพระสาวก ที่เรียกว่า "หลวงปู่, หลวงพ่อ" ครูบาอาจารย์อันประเสริฐของตน แต่กลับไม่มีจิตตรง ศรัทธาแท้ต่อ "พระพุทธเจ้าที่แท้จริง" เขาผู้นั้นไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้ แต่เขาอาจถึงซึ่งอรหันตผลในสายธรรมอื่นๆ อันเชื่อมต่อตรงมาสู่โลก เช่น สายธรรมของพระอามิตภะ, พระพุทธะ (ยูไล) ที่สถิตย์ ณ สุขาวดีโลกธาตุต่างๆ เป็นต้น บุคคลผู้บรรลุอรหันตผลเช่นนี้ จะยังไม่ถึงวาระนิพพาน และจะจุติยังสุขาวดีสวรรค์ เรียกว่า "อรหันตโพธิสัตว์" อันมีพระพุทธะอื่นๆ เป็นต้นสายธรรม ทั้งนี้ ควรเข้าใจด้วยว่า คำว่า "พุทธะ" เป็นคำกว้างๆ กลางๆ หมายถึง "จิตวิญญาณ" ที่มีลักษณะและความเป็นพุทธะอันแท้จริง ซึ่งเป็น "จิตวิญญาณ" ต้นธาตุ, ต้นธรรม และต้นกำเนิดของจิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวล หมายความว่า จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวลนั้น ต่างก็กำเนิดมาจาก "พุทธะ" ทั้งสิ้น อนึ่ง พึงทราบด้วยว่า "พุทธะ คือ จิตวิญญาณ" มิใช่ "จิต" อย่างเีดีัยว ด้วยเพราะมี "วิญญาณ" ปรุงแต่ง จึงเป็นพุทธะได้ ส่วนจิตนั้น บริสุทธิ์ประภัสสร ดังเดิมแท้ก่อนถูกปรุงแต่ง ไม่มีทั้ง "พุทธะ" หรือ "อพุทธะ" แต่เมื่อได้รับการปรุงแต่งแล้ว "จิตวิญญาณ" จึงเป็นพุทธะ (แต่จิตนั้นก็ยังคงเป็นจิตประภัสสรเช่นเดิม เหมือนเอาน้ำผสมกับน้ำมัน ส่วนของน้ำ ก็ยังเป็นน้ำเช่นเดิม) อนึ่ง คำว่า "พุทธะ" นี้ ภาษาจีนคือ "ยูไล" ซึ่งสามารถสำเร็จได้ หลายทาง ไม่จำเป็นต้องต่อสายธรรม หรือรับธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อบรรลุยูไล หรือจิตวิญญาณกลับสู่ "ภาวะเดิมแท้" ดังเดิม (จิตวิญญาณต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นกำิเนิด) แล้ว หากมิใช่กิจที่จะมาทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจเป็น "เจ้าแห่งพุทธะ" จึงไม่ใช่พระพุทธเ้จ้า เมื่อทำหน้าที่ตามกิจของตน อันไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้าแล้วจะยังไม่นิพพานบนโลกนี้จึงจุติสู่ "สุขาวดีโลกธาตุ" (ในขณะที่พระพุทธเจ้าเมื่อจบกิจละสังขารแล้ว จะนิพพานบนดาวโลกนี้ หรือดาวโลกที่ตนไปเกิด) เมื่อจุติที่สุขาวดีโลกธาตุ จะนับว่าเป็น "พระพุทธเจ้าบนสุขาวดีโลกธาตุนั้น" อีกพระองค์หนึ่ง (มีหลายพระองค์) แต่ไม่อาจใช้คำเรียกว่าพระพุทธเจ้า "บนโลกนี้ได้" เพราะจะเกิดความสับสน และทับซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีแต่พระสมณโคดม เพียงพระองค์เดียว ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกนัยว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า บนโลกนี้ ที่เกิด, ตรัสรู้ และนิพพาน บนโลกนี้ แต่ "พุทธะ" (หรือพระยูไล) คือ ผู้ที่จะได้ไปเกิด, ตรัสรู้ และนิพพานใน "โลกธาตุอื่น" คือ "พุทธเกษตรทั้งหลาย" (ซึ่งมีอยู่มากมาย) เช่น "สุขาวดีโลกธาตุ" เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น