อรหันต์ & นิพพาน

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555 0 ความคิดเห็น
พระอรหันต์กับนิพพานเป็นคนละสิ่งกัน อรหันต์คืออรหันต์, นิพพานคือนิพพาน ทว่า สองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันมาก กล่าวคือ บุคคลถึงซึ่งนิพพานได้ จำต้องผ่านการบรรลุอรหันต์มาก่อน แต่บุคคลที่บรรลุอรหันต์นั้น ไม่จำเป็นต้องนิพพานเสมอไป คำว่า "อรหันต์" นั้น เป็นผลมาจากการสร้างเหตุให้เกิดเป็น ให้ได้เป็น เหตุแห่งการได้เป็นอรหันต์ ก็คือ การบรรลุธรรม เมื่อบรรลุธรรมแล้วอาจจะนิพพานในชาตินั้นเลย หรือยังไม่รีบนิพพานก็ได้ การที่อรหันต์เป็นผลจากการปฏิบัติธรรม ถึงที่สุดแห่งธรรม บรรลุธรรมเป็นเหตุ จึงมีอรหันตผล เป็นผลนั้นเอง "อรหันต์" จึงเป็นธรรมในปฏิจสมุปบาท อันอาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดเป็น "รูปนาม" อย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นสิ่งที่ "ไม่ได้มีอยู่ก่อน" เหมือนการให้ปริญญาคนที่เรียนจบแล้ว นั่นแล ผู้ที่มีปัญญาแจ้งถึงนิพพาน ก็นับว่า "อรหันต์" เท่านั้นเอง ทว่า "นิพพาน" เป็นธรรมอันหลุดพ้นแล้วจากเหตุปัจจัยใดๆ ทั้งมวล ไม่ใช่ธรรมที่เกิดจากเหตุใดๆ และไม่ใช่ผลของเหตุใดๆ จึงไม่ได้เกิดจากการเกิดหรือดับของเหตุปัจจัยใดๆ จึงพ้นแล้วจากเหตุปัจจัย พ้นแล้วจากปฏิจสมุปบาท พ้นแล้วจากการเกิดดับกล่าวได้ว่านิพพาน ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่ปัจจัย เป็นเช่นนั้นเอง เหนือกาลเวลา ไม่จำกัดกาล แม้ในอดีตก็เป็นเช่นนี้, ปัจจุบัน ก็เป็นเช่นนี้, อนาคตก็เป็นเช่นนี้ มิใช่ เพิ่งมามี มาเกิด มาเป็น ก็เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือสร้างให้นิพพานมีขึ้น เกิดขึ้น เพราะผลแห่งการอรหันต์ ก็หาไม่ อุปมาเหมือน ธรรมชาติหนึ่ง บัณฑิตผู้รู้แจ้งในธรรมชาตินี้ เรียกว่า "อรหันต์" ซึ่งอรหันต์นี้เกิดภายหลังธรรมชาตินี้ ทว่า ธรรมชาตินี้่ ไม่ขึ้นแก่กาล เป็นเช่นนี้มานานและตลอดไป ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต นั่นเอง แต่มิอาจกล่าวได้ว่า "นิพพานมีอยู่ เกิดอยู่ หรือดำรงอยู่ ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน หรืออนาคต" ด้วยเพราะนิพพานไม่ขึ้นกับกาล ไม่ใช่ธรรมที่เกิดขึ้น, ตั้งอยู่ หรือดับไป จะว่ามีอยู่, เกิดอยู่ หรือดับไปในกาลใดๆ ก็หาได้ไม่? จึงไม่อาจกล่าวว่าเที่ยง หรือจีรัง หรืออำมตะ ด้วยเพราะไม่ใช่ธรรมอันเกิดขึ้น, ดำรงอยู่ หรือไม่ดับไป ในกาลใดๆ จึงพ้นแล้วทั้งปวง


ดังนั้น "พระิอรหันต์" จึงไม่เที่ยง ด้วยเพราะเป็นเพียง "รูปนามหนึ่ง" ในปฏิจสมุปบาท มิใช่ธรรมอันพ้นแล้วจากการเกิดดับ ยังเกิดและดับได้อยู่ ดังนี้ จึงอาจนิพพานในชาตินั้นๆ เลยก็ได้ (ด้วยรู้แจ้งในนิพพานแล้ว) หรืออาจยังไม่รีบนิพพานก็ได้เช่นกัน ในกรณีที่รีบนิพพานในชาตินั้นๆ เลย จำต้องอาศัย "ธรรมวินัย" ของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องเตือนสติ ด้วยปัญญาของพระอรหันตสาวก ไม่อาจทราบทุกอย่าง แต่พระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูญาณ ทราบทุกอย่าง จึงคอยบอกหรือเตือนสติพระสาวกได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ปรารถนานิพพาน จึงจำต้องเดินตามพระพุทธเจ้า ไม่อาจขาดซึ่งพระพุทธ, พระธรรมวินัย และความเป็น "อรหันตสาวก" ได้เลย จำต้องครบองค์รัตนตรัยทั้งสามส่วนดังนี้ฯ จักถือเอาว่าได้เพียงพระธรรมมาแล้วศึกษาเองก็บรรลุได้ ทำความเข้าใจด้วยการอ่านก็บรรลุได้ (สุตมยปัญญา) ไม่มีพระวินัย, ไม่ตรงต่อพระพุทธเจ้าก็นิพพานได้ นั้น เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะยุคนี้ ยังไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่จะนิพพานได้ด้วยตนเองแล ...



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 

©Copyright 2011 Mouth Buddha | TNB